12 สิงหาคม…วันแม่แห่งประเทศไทย

12 สิงหาคม…วันแม่แห่งประเทศไทย
…………………………………………………

กุศลผลบุญใดที่เกิดจากการประพฤติ.
ปฏิบัติ รักษาศีลให้ทานเจริญภาวนา
ธรรมอันใดที่แม่เจริญแล้ว
แม่น้อมกราบอาราธนาธรรมนั้นคุ้มครองรักษา
ให้ลูกมีกำลังใจ..มีกำลังกาย..
มีชีวิตอย่างพอเพียงและไม่ประมาทในการ.พูด..คิด..ทำ

รักเสมอ
……….
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

…วันอาสาฬหบูชา…

…วันอาสาฬหบูชา…
…………………………
ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินในคุณของพระรัตนตรัย ข้าพเจ้าน้อมกราบขอขมาต่อคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ด้วยกายวาจาใจ

น้อมกราบอารธนาคุณพระรัตนตรัย
เป็นที่พึ่ง ในการดำเนินชีวิตอย่างมีสติมีปัญญาอยู่ในเส้นทางอันประเสริฐตลอดชีวิตด้วยเทอญ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

…วันอาสาฬหบูชา…

วันนี้..วันพระ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ
==========================
…วันอาสาฬหบูชา…

..แก้วสามประการอันประเสริฐสุด..
..ของผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต..

ทำหน้าที่พุทธศาสนิกชน..สืบทอดอายุพระศาสนา
เพื่อประโยชน์..เพื่อความสุขความเจริญแก่ตน
==========================
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ

วันนี้..วันพระ ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ
…………………………………….
ความทุกข์..เป็นเครื่องอยู่ของกาย
ความพ้นจากทุกข์..เป็นหน้าที่ของใจ
…………………………………….
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

มหาโคสิงคสาลสูตร

มหาโคสิงคสาลสูตร
การสนทนาธรรมเรื่องผู้ทำให้ป่างาม

    สมัย หนึ่ง พระเถระสาวก (๕ รูป) คือ ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสป ท่านพระอนุรุทธ ท่านพระเรวตะ และท่านพระอานนท์ ได้ชวนกัน ไปหาท่าน พระสารีบุตร เพื่อฟังธรรม เมื่อถึงแล้วท่านพระสารีบุตร ได้ตั้งหัวข้อถามกับ ทุกคน ดังนี้ว่า

    "ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบาน สะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ป่าโคสิงคสาลวัน  ป่างามด้วยภิกษุมีคุณสมบัติเช่นไร"

ความเห็นพระอานนท์ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ๕ อย่างคือ๑. เป็นพหูสูต ๒. เป็นผู้มีสติ ๓. เป็นผู้มีคติ ๔. เป็นผู้มีความเพียร ๕. เป็นพุทธอุปัฏฐาก)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ เป็นพหูสูต(ศึกษาเล่าเรียนคำสอนมามาก) เป็นผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ (สามารถจำคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ไม่ลืม ไม่สับสน) สดับมากแล้ว ทรงไว้แล้ว สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็น ภิกษุนั้น แสดงธรรมแก่บริษัท ๔ ด้วยบทและพยัญชนะอันราบเรียบ… ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระเรวตะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านอยู่ป่า)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ เป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในความหลีกเร้น ประกอบเนืองๆ ซึ่งเจโตสมถะอันเป็นภายใน มีฌานอันไม่ห่างเหินแล้ว ประกอบด้วย วิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระอนุรุทธะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านมีตาทิพย์)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วย ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ ของมนุษย์ ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระมหากัสสปะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านธุดงค์)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ กระทำตนเองและกล่าวสรรเสริญคุณการอยู่ในป่าเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือไตรจีวรเป็นวัตร มีความปรารถนา น้อย เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้สงัด ไม่คลุกคลี ปรารถความเพียร ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อม ด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา ถึงพร้อมด้วยวิมุติ ถึงพร้อมด้วยวิมุติญาณทัสสนะ และกล่าวสรรเสริญคุณ ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระโมคคัลลานะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านแสดงฤทธิ์)
“ภิกษุ ๒ รูป ในพระศาสนานี้ กล่าวอภิธรรมกถา เธอทั้ง ๒ นั้น ถามกันและกัน ถามปัญหากันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพักด้วย และธรรมกถาของเธอทั้ง ๒ นั้น ย่อมเป็นไปด้วย ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระสารีบุตร (เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายด้านมีปัญญามาก)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจและไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเช้า-เที่ยง-เย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้น ได้ในเวลาเช้า-เที่ยง-เย็น ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ลำดับนั้น ท่านสารีบุตร ได้กล่าวกะท่านผู้มีอายุเหล่านั้นดังนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย ปฏิภาณตามที่เป็นของตนๆ พวกเราทุกรูปพยากรณ์แล้ว มาไปกันเถิด พวกเราจักเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ 

    ครั้นแล้ว จักกราบทูลเนื้อความนี้ แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรง พยากรณ์ แก่พวกเราอย่างใด พวกเราจัก ทรงจำข้อความนั้นไว้อย่างนั้น. ท่านผู้มี อายุเหล่านั้น รับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว...

   เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า คำของใครหนอเป็นสุภาษิต?

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร คำของพวกเธอทั้งหมด เป็นสุภาษิตโดยปริยาย ก็แต่พวกเธอจงฟังคำ ของเรา คำถามว่า ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็น ปานไรนั้น เราตอบว่า

    "ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังภัตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า จิตของเรายังไม่หมดความ ยึดมั่นถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพียงใด เราจักไม่ทำลายบัลลังก์ (ไม่เลิกปฏิบัติ) นี้เพียงนั้น ดังนี้ ดูกรสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล.

……………………………………………………..
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

น้อมกราบอนุโมทนาทุกก้าวแห่งการเผยแผ่ธรรม

ข้าพเจ้ามีวาสนาได้เห็นความประเสริฐในการปฏิบัติขัดเกลากิเลส ของพระธุดงค์หมู่ใหญ่ในทิศทั้งสี่

น้อมกราบอาราธนาพระสังฆานุภาพแห่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
อันประเสริฐตลอดชีวิต

น้อมกราบอนุโมทนาทุกก้าวแห่งการเผยแผ่ธรรม

สาธุอนุโมทามิ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้ วันพระขึ้น15ค่ำเดือน8ปีเถาะ

วันนี้ วันพระขึ้น15ค่ำเดือน8ปีเถาะ
……………………………………….

ทาน ศีล ภาวนา เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ปัจจัตตังธรรมทาน หน้าที่ 21..งานงอก..

ปัจจัตตังธรรมทาน หน้าที่ 21
………………………………………….
..งานงอก..

สร้างกำลังใจ..ให้มีในตนด้วยความอดทน
ตาเห็นใจ..คิดก็ผิดแล้ว
คิดอะไร..ก็รับกรรมตามเนื้อผ้า
พูดอะไรออกไป..ก็กลับมาเป็นเรื่องของเรา..ไม่ช้าก็เร็ว

การทำมาหากิน..ที่เจือไปด้วยความไม่รู้
เป็นพนักงานที่ไม่สนใจองค์กร ไม่รับผิดชอบหน้าที่

ทำมั่ง..อู้มั่ง..ถึงเวลารับเงินค่าตอบแทน เหลือมั่ง..ไม่เหลือมั่ง..ส่วนมากเป็นหนี้ที่มีแต่ดอก

งานหนี้..มางอกที่เรา..อีกทั้งความเจ็บป่วยที่ไม่ได้เชื้อเชิญ
เพราะความเห็นแก่ตัว..คือ..การทำร้ายตนเอง

“สัตว์โลก..ย่อมเป็นไปตามกรรม”

ชีวิตของคนเรา..จะเป็นไปอย่างไร
ขึ้นอยู่กับกรรมและการกระทำของตน

หากรับผิดชอบ..เต็มความสามารถ
ก็ไม่ต้องรับผิดชอบหนี้กรรมไม่ว่าทำงานอะไร
ตั้งแต่ข้าราชการถึงกรรมกร รับผลแตกต่างกันไปตามเจตนา

ผลของความดี..ส่งผลเงินเดือนเพิ่มตำแหน่งใหญ่ขึ้น

หาที่พึ่งให้สติ..ด้วยการรักษาศีลห้า
ตั้งสัจจะทำไว้ในใจ เพราะศีลห้าจะควบคุมใจให้ละอายเกรงกลัวต่อบาป

วันเสาร์-วันอาทิตย์ หาเวลาไปรักษาศีลให้ทานปฏิบัติธรรม
ให้ชีวิตมีพลังบวก สร้างกำลังให้มีในตน
สร้างกรรมดีด้วยกายวาจาใจ
ของใครของมัน..ทำเองรู้เอง

…สติ..เป็นเครื่องตื่นในโลก…

สาธุปัจจัตตังธรรมทาน
……………………………………………………..
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ปัจจัตตังธรรมทาน หน้าที่20 …อวิชชา 2….

ปัจจัตตังธรรมทาน หน้าที่20
……………………………….
…อวิชชา 2….

ความโกรธ ความโลภ ความหลง ชื่อว่ากิเลส
มีผลของกรรมที่ต้องรับผิดชอบ

ผู้ที่ถูกกระทำเกิดมาเพื่อเป็นเจ้ากรรมนายเวรเป็นลูก เป็นญาติ
เป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นผัวเป็นเมีย มีอำนาจเบล็ดเสร็จที่คอยทวงคืน
ทวงคืนทุกอารมณ์ หากมีสติที่เป็นธรรมไม่โต้ตอบ การชดใช้ก็จบไม่ยาก

ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรจะแสดงธรรม
เป็นตัวตนของเราทุกท่าทาง

ทุกข์ที่เกิดขึ้นด้วยความไม่รู้ทำให้ผูกเวร
ซ้ำๆไม่สามารถหลุดออกจากเจ้ากรรมนายเวรได้ดังภาษิตว่า

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

ต้องฝึกให้มีสติเพราะชีวิตถูกรายล้อมด้วยบาปที่ทำไว้ทั้งของเก่าและของใหม่

การสร้างกุศลให้ถึงพร้อมด้วยกายวาจาใจ
จึงจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน

สาธุ.ปัจจัตตังธรรมทาน

แม่ชีทศพร วชิรบำเพ็ญ