ข้าพเจ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต…

พุทธโธ เม โถ ..พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
ธัมโม เมนาโถ ..พระธรรมเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
สังโฆ เมนาโถ ..พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระแรม8ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ

วันนี้..วันพระแรม8ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ
——————————
2กุมภาพันธ์ ชาตกาลหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงค์
เสียสละ สม่ำเสมอ ไม่ล้มเลิก
……………………………………..
สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ มีนามเดิมว่า สมศักดิ์ ชูมาลัยวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2484 เป็นบุตรของ นายเหลี่ยม นางสำลี ชูมาลัยวงศ์ เป็นชาวอ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี ณ วัดละมุด ต.ปากจั่น อ.นครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค และสำเร็จการศึกษาปริญญาเอก สาขาประวัติศาสตร์เอเซียโบราณ จากมหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย

สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ดำรงตำแหน่งงานด้านการศึกษาที่สำคัญๆ ของคณะสงฆ์ คือ ครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกบาลี ชั้นเปรียญธรรม 6 ประโยค และ 7 ประโยค สำนักเรียนวัดชนะสงคราม, ชั้นเปรียญธรรม 5 ประโยค และ 6 ประโยค สำนักเรียนวัดดาวดึงษาราม, ชั้นเปรียญธรรม 8 ประโยค และ 9 ประโยค สำนักเรียนคณะสงฆ์ส่วนกลางวัดสามพระยา และเคยดำรงตำแหน่งคณบดี คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

* ด้านการปกครองคณะสงฆ์ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ดำรงตำแหน่งงานที่สำคัญๆ คือ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม เป็นรองเจ้าคณะภาค 13
* – ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดพิชยญาติการาม เมื่อพุทธศักราช 2540
* – ได้รับตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ตามลำดับ คือ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 15 และเจ้าคณะภาค 1
* – ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม
* – ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ
* – ประธานพัฒนาปรับปรุงพุทธมณฑล

เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เป็นผู้ดำริจัดตั้งสถาบันบาฬีศึกษาพุทธโฆส เพื่อจัดการเรียนการสอนคัมภีร์พื้นฐานบาลีพระไตรปิฎก ได้แก่ คัมภีร์ศัพทศาสตร์ นิฆัณฑุศาสตร์ ฉันทศาสตร์ เกฏุภศาสตร์

ซึ่งต่อมามหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ยกสถานภาพขึ้นเป็นวิทยาเขต ลำดับที่ 10 ชื่อมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม ซึ่งจัดการเรียนการสอน สาขาวิชาบาลีพุทธศาสตร์, พระพุทธศาสนา, พระไตรปิฎกศึกษา และวิปัสสนาภาวนา ตั้งแต่ ชั้นปริญญาตรี จนถึงชั้นปริญญาเอก ปัจจุบันมีนิสิตทุกสาขาวิชา จำนวนมาก
นอกจากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ยังได้สร้างผลงาน วรรณกรรมวิชาการบาลี และวิปัสสนาไว้มากมาย เช่น สัททานุกรมพระไตรปิฎกเชิงวิจัย ฉบับบาลีไทย การศึกษาเชิงวิเคราะห์พระคาถาธรรมบท ตรวจชำระคัมภีร์สัททนีติเป็นต้น

จนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง “ศาสตราจารย์พิเศษ” ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดทางวิชาการด้านภาษาบาลี นอกจากนั้น รัฐบาลสหภาพเมียนมา ได้ถวายตำแหน่ง “อัครมหาบัณฑิต” เพื่อเชิดชูเกียรติคุณพระมหาเถระผู้มีผลงานทางภาษาบาลี และวิปัสสนาภาวนา

เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ นับเป็นพระมหาเถระ ผู้เป็นแบบอย่างของพระนักวิชาการ นักปฏิบัติ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์มาตามลำดับ คือ พระศรีสุทธิพงศ์ พระราชปริยัติโมลี พระเทพปริยัติโมลี พระธรรมโมลี พระพรหมโมลี และได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนา ให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ที่ “สมเด็จพระพุทธชินวงศ์” เมื่อพุทธศักราช 2554

* วิทยฐานะ
* แผนกนักธรรม-บาลี
* พ.ศ. 2506 สอบได้นักธรรมชั้นเอก
* พ.ศ. 2515 สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค
* แผนกสามัญ
* พ.ศ. 2494 สำเร็จประถมศึกษาปีที่ 4
* พ.ศ. 2519 สำเร็จปริญญามหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์เอเชียโบราณ) จากมหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย
* พ.ศ. 2519 สำเร็จปริญญาดุษฎีบัณฑิต (ประวัติศาสตร์เอเชียโบราณ) จากมหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย
ลำดับสมณศักดิ์
* พ.ศ. 2516 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญที่ พระศรีสุทธิพงศ์
* พ.ศ. 2531 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชปริยัติโมลี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
* พ.ศ. 2536 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพปริยัติโมลี ศรีปาพจนานุสิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี
* พ.ศ. 2541 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโมลี ศรีปริยัตโยดม วิกรมธรรมธารี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี
* พ.ศ. 2548 ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัณยบัฏที่ พระพรหมโมลี ศรีสังฆโสภณ วิมลสีลาจารนิวิฐ พิพิธคัมภีร์ปริวรรตธารี ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม
* พ.ศ. 2554 ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ที่ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ พรหมวิหารธำรงวราธิมุต วิสุทธิศีลาจารนิวิฐ ภาวนากิจสุวิธาน ไพศาลหิตานุหิตดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี
* พ.ศ. 2556 สมณศักดิ์ที่ อัครมหาบัณฑิต ณ หอศาสนวิมาน กรุงเนปิดอร์ ประเทศพม่า โดยมี พลเอกเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีพม่า เป็นประธานมอบถวาย มีรองประธานาธิบดี และเจ้าหน้าของภาครัฐ ร่วมพิธี วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556
…………………………
ด้วยความอาลัยหาที่สุดมิได้

เกล้า ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

สันตติมหาอำมาตย์…

ประกาศตามวันเวลาในภาพ
ท่านสามารถร่วมทำวัตรสวดมนต์ฟังเทศน์
ถวายสังฆทานกับคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ในทิศทั้งสี่
ได้ทุกวันนะคะ
———————–

กาลครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้รับสั่งให้สันตติมหาอำมาตย์ไปปราบปรามโจรที่กำลังฮึกเฮิมอย่างหนัก
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงทราบว่ามหาอำมาตย์ปราบโจรได้อย่างราบคาบแล้ว ทรงพอพระราชหฤทัยมาก จึงพระราชทานทรัพย์สมบัติให้เป็นจำนวนมาก
รวมทั้งหญิงสาวที่เก่งในการร้องเพลงและฟ้อนรำนางหนึ่ง

สันตติมหาอำมาตย์ได้ดื่มเหล้าฉลองชัยชนะจนเมามายถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ในวันที่ เจ็ดเขาจัดแจงแต่งตัวด้วยอาภรณ์อย่างดี แล้วขี่ช้างตัวที่ดีที่สุดไปยังท่าอาบน้ำ
เมื่อไปถึงก็เห็นพระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง เขาจึงผงกศีรษะถวายบังคมด้วยความเคารพ ในขณะที่นั่งอยู่บนคอช้างนั่นเอง

เมื่อพระศาสดาทรงเห็น จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์จึงทูลถามถึงสาเหตุที่พระองค์ทรงแสดงกิริยาเช่นนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า

“อานนท์ เธอจงดูสันตติมหาอำมาตย์ วันนี้เขาประดับด้วยอาภรณ์อย่างดี มาสู่สำนักเรา เขาจะบรรลุพระอรหัตเพียงเพราะไดัฟังธรรมเพียงนิดเดียว เท่านั้นเอง และจะปรินิพพานในอากาศ”

บรรดาชาวบ้านที่ได้ฟังคำของพระศาสดา บางพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคิดว่า

“ท่านทั้งหลาย จงดูกิริยาของพระสมณโคดม พระองค์ย่อมพูดสักแต่ปากเท่านั้น ในวันนี้สันตติมหา-อำมาตย์นั้นเมาสุราอย่างหนัก จะได้ไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่ไหน พวกเราจักจับผิดพระสมณโคดมที่กล่าวมุสาวาท”

ส่วนพวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิคิดกันว่า

“น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีอานุภาพมาก ในวันนี้ เราทั้งหลาย จักได้ดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้า และการเยื้องกรายของสันตติมหาอำมาตย์”

ฝ่ายมหาอำมาตย์หลังลงเล่นน้ำตลอดทั้งวันที่ท่าอาบน้ำแล้ว จึงกลับไปสู่อุทยาน และไปนั่งในโรงดื่ม ขณะที่หญิงสาวที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานให้นั้น ก็ขึ้นไปยืนอยู่ที่กลางเวทีเตรียมจะฟ้อนรำให้มหาอำมาตย์ดู แต่พอเริ่มจะแสดง นางก็กลับมีลมพิษเกิดขึ้นในท้องอย่างหนัก ปากอ้า ตาเหลือก และในที่สุดก็ขาดใจตาย สาเหตุเพราะกินอาหารน้อยมาตลอด ๗ วัน เพื่อให้ร่างกายอ้อนแอ้นน่าชมนั่นเอง

เมื่อมหาอำมาตย์รู้ว่านางตายแล้ว เขาก็เกิดความเศร้าโศกอย่างแรงกล้าขึ้นมา กระทั่งส่างเมาทันที พิษของสุราที่ดื่มมาตลอด ๗ วัน ได้เสื่อมหายไป เขาคิดว่าคงไม่มีใครที่จะสามารถระงับความโศกเศร้าของเขาได้ เขาจึงไปขอเข้าเฝ้า พระศาสดาในตอนเย็นพร้อมกับบริวาร และกราบทูลถึงเหตุแห่งความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นกับตนและเหตุที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้า

ครั้นพระศาสดาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงตรัสว่า
“ท่านมาหาเราผู้สามารถที่จะดับความโศกได้แน่นอน อันที่จริงน้ำตาที่ไหลออกของท่านผู้ร้องไห้ในเวลาที่หญิงนี้ตายด้วยเหตุอย่างนี้ มากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้ง ๔ ซะอีก” แล้วจึงตรัสพระคาถา ว่า

“กิเลสเครื่องกังวลใด มีอยู่ในกาลก่อน เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น ให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่องกังวล จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ ในท่ามกลาง จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป”

หลังจากพระองค์เทศน์จบ สันตติมหาอำมาตย์ก็บรรลุพระอรหัตผล แล้วพิจารณาดูอายุสังขารของตน ทราบว่าตัวเองจะหมดอายุขัยแล้ว จึงกราบทูลพระศาสดาว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด”

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “สันตติมหาอำมาตย์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงเล่ากรรมที่เธอเคยทำไว้ในอดีตแก่เรา แต่ก่อนจะเล่า จงอย่ายืนบนพื้นดิน จงยืนบนอากาศชั่ว ๗ ลำตาล”

มหาอำมาตย์จึงถวายบังคมพระศาสดา จากนั้นก็ขึ้นไปสู่อากาศชั่วลำตาลหนึ่ง แล้วลงมาถวายบังคมพระศาสดาอีก และขึ้นไปนั่งโดยบังลังก์บนอากาศ ๗ ชั่วลำตาลแล้ว จึงเล่าบุรพกรรมของตนเองว่า

ในสมัยของพระพุทธเจ้าวิปัสสี ท่านได้คิดว่า อะไรหนอ เป็นกรรมที่ไม่ทำการตัดรอนหรือบีบคั้น ซึ่งชนเหล่าอื่น เมื่อใคร่ครวญอยู่ จึงเห็นกรรมคือการป่าวร้องในบุญทั้งหลายว่า
พวกท่านจงทำบุญ จงสมาทานอุโบสถในวันอุโบสถ จงถวายทาน จงฟังธรรม ชื่อว่า รัตนะอย่างอื่นเช่นกับพุทธรัตนะ เป็นต้น ไม่มี จงทำสักการะรัตนะทั้ง ๓ เถิด 

พระราชาได้พระราชทาน ม้า รถ และโภคะเป็นอันมาก เครื่องประดับใหญ่ ช้างเชือกหนึ่ง เพื่อให้สมควรแก่การทำกิจนี้ ท่านได้ประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง นั่งบนคอช้าง ได้ทำกรรมของผู้ป่าวร้องธรรมสิ้นแปดหมื่นปี กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากกาย กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปากตลอดกาล

ครั้นได้กราบทูลบุรพกรรมของตนแล้ว สันตติมหาอำมาตย์นั่งบนอากาศเข้าเตโชธาตุ ปรินิพพาน เปลวไฟเกิดขึ้นในสรีระไหม้เนื้อและโลหิต ธาตุทั้งหลายดุจดอกมะลิ ตกลงมาในผ้าขาวที่พระศาสดาทรงคลี่วางรับไว้ ได้ทรงบรรจุธาตุเหล่านั้นแล้ว รับสั่งให้สร้างสถูปไว้ที่ทางใหญ่ ๔ เเพร่ง ด้วยทรงประสงค์ว่า มหาชนไหว้แล้ว จักเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ

ต่อมาเหล่าภิกษุได้สนทนากันว่า สันตติมหาอำมาตย์บรรลุพระอรหัตในคราวที่ยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ ควรเรียกว่า สมณะ หรือ พราหมณ์

เมื่อพระศาสดาทรงทราบความจึงตรัสว่า การเรียกสมณะ ก็ควร เรียกว่า พราหมณ์ ก็ควรเหมือนกัน และทรงตรัสพระคาถาต่อไปว่า

แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว พึงประพฤติสม่ำเสมอเป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม มีปกติประพฤติประเสริฐ วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก บุคคลนั้น เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ

ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
———————————
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

แก่นของพรหมจรรย์

สมัยหนึ่ง ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฎ กรุงราชคฤห์ ตรัสสอนภิกษุทั้งหลาย ถึงเรื่องการแสวงหาพรหมจรรย์ อุปมาด้วยเรื่องผู้มีความต้องการแสวงหาแก่นไม้ไว้ว่า
บุรุษคนหนึ่ง ปรารถนาจะแสวงหาแก่นของต้นไม้ที่ยืนต้นอยู่ แต่เขาละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอาไปเพียงกิ่งและใบ เข้าใจว่าเป็นแก่นไม้ เพราะความที่ไม่รู้จักว่าส่วนใดเป็นแก่นแท้ของต้นไม้นั้น เปรียบเสมือนกุลบุตรผู้ออกจากเรือน แสวงหาพรหมจรรย์ เพื่อกระทําที่สุดแห่งทุกข์ ครั้นบวชแล้วยังยินดีอยู่ ด้วยลาภยศ สรรเสริญ สุข ชื่อว่ายังเป็นผู้ประมาทภิกษุนั้นเพียงได้ถือ เอาเพียงกิ่งและใบของพรหมจรรย์เท่านั้น แล้วตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลาย รู้จักการแสวงหาพรหมจรรย์ที่แท้จริง ดังต่อไปนี้

สะเก็ดพรหมจรรย์
กุลบุตรบางคน ออกจากเรือนบวชด้วยความศรัทธา เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ด้วยความถึงพร้อมแห่งศีล แต่เขายกตนข่มผู้อื่นว่า เราเป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม ภิกษุอื่นเป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาทเพราะความถึงพร้อมแห่งศีล เปรียบเหมือน บุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เห็นต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่ เขาถากเอาเพียงสะเก็ดของต้นไม้นั้นถือไป สําคัญว่าเป็นแก่นไม้ ภิกษุนี้ตถาคตเรียกว่า บุรุษนั้นได้ถือเอาเพียงสะเก็ดของพรหมจรรย์

เปลือกของพรหมจรรย์
กุลบุตรบางคน ออกจากเรือนบวชด้วยความศรัทธา เป็นสมบูรณ์ด้วยศีล เจริญสมาธิ ถึงพร้อมด้วยสมาธิ แต่ยกตนข่มผู้อื่นว่า เราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ส่วนภิกษุอื่นไม่มีจิตตั้งมั่น เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท ด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธิ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เห็นต้นไม้ใหญ่ ตั้งอยู่เขาถากเอาเปลือกของต้นไม้นั้นถือไป สําคัญว่าเป็นแก่นไม้ ภิกษุนี้ ตถาคตเรียกว่า บุรุษนั้นได้ถือเอาเพียงเปลือกของพรหมจรรย์

กระพี้แห่งพรหมจรรย์
กุลบุตรบางคน ออกจากเรือนบวชด้วยความศรัทธา เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ เขาย่อมยังญาณทัสสนะ คือ มีความรู้ความเห็นให้สําเร็จ เพราะความถึงพร้อมแห่งญาณทัสสนะ เขายกตนข่มผู้อื่นว่า เรารู้เราเห็นอยู่ ภิกษุอื่นไม่รู้ไม่เห็น เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะความถึงพร้อมแห่งญาณทัสสนะ เปรียบเหมือน บุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เห็นต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่ เขาถากเอากระพี้ (ส่วนของเนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น) ของต้นไม้นั้น สําคัญว่าเป็นแก่นไม้ ภิกษุนี้ตถาคตเรียกว่า บุรุษนั้นได้ถือเอาเพียงกระพี้ของพรหมจรรย์

แก่นของพรหมจรรย์
กุลบุตรบางคน ออกจากเรือนบวชด้วยความศรัทธา เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยสมาธิ และญาณทัสสนะแล้ว เป็นผู้ไม่ประมาท ย่อมถึงซึ่งวิโมกข์ (ความหลุดพ้น) บรรลุโลกุตตรธรรม ๙ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เปรียบเหมือนบุรุษ ผู้มีความต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เห็นต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่ เขาเลือกถากเอาแก่นของต้นไม้ นั้นถือไป
กุลบุตรผู้นี้รู้จักสะเก็ด เปลือก และกระพี้ของต้นไม้นั้น เลือกถากเอาแต่แก่นไม้ถือไป เขาได้แก่นไม้ตามประสงค์ กิจที่จะทําด้วย แก่นไม้นี้จักสําเร็จประโยชน์แก่เขา ฉันใด ภิกษุพึงพากเพียรให้ถึงพร้อม ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา ก็ย่อมสําเร็จประโยชน์อันเป็นผลสูงสุดในพระพุทธศาสนา บรรลุถึงพระนิพพาน พ้นจากสังสารวัฏได้ ฉันนั้น
-บาลี จตุกุก. อ. ๒๑/๓๓/๒๕.
ภิกษุทั้งหลาย ! 
พรหมจรรย์นี้เราประพฤติ มิใช่เพื่อหลอกลวงคนให้นับถือ มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร
มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญ
มิใช่เพื่ออานิสงส์จะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือเพื่อค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มลงไป  และมิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า 
เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หามิได้.
ภิกษุทั้งหลาย !  ที่แท้  พรหมจรรย์นี้
เราประพฤติเพื่อสำรวม  เพื่อละ
เพื่อคลายกำหนัด  เพื่อดับสนิทซึ่งทุกข์ แล.
………………………………………………..
น้อมกราบอาราธนาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

เพื่อประโยชน์ เพื่อความเจริญแห่งพุทธศาสนาตลอด5,000ปี

กราบอนุโมทนา สาธุ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ปัจจัย4ของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

ปัจจัย4ของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
……………………..
บทพิจารณาปัจจัยสี่
หันทะ มะยัง ตังขะณิกะปัจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส
ปะฏิสังขา   โยนิโส   จีวะรัง   ปะฏิเสวามิ
ยาวะเทวะ   สีตัสสะ   ปะฏิคาตายะ
อุณ๎หัสสะ   ปฏิคาตายะ
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง  
ปะฏิคาตายะ ยาวะเทวะ   หิริโกปินะปะฏิจฉาทะนัตถัง 

 เราย่อมพิจารณาโดยแยบคาย   แล้วนุ่งห่มจีวร
เพียงเพื่อบำบัดความหนาวเพื่อบำบัดความร้อน
เพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ   ยุง   ลม แดด   และสัตว์ เลื้อยคลานทั้งหลาย
และเพียงเพื่อปกปิดอวัยวะ   อันให้เกิดความละอาย

ปะฏิสังขา   โยนิโส   ปิณฑะปาตัง   ปะฏิเสวามิ
เนวะ   ทะวายะ นะ   มะทายะ นะ   มัณฑะนายะ
นะ   วิภูสะนายะ
เนวะ   ทะวายะ ยาวะเทวะ   อิมัสสะ   กายัสสะ  
ยาปะนายะ วิหิงสุปะระติยา พ๎รัห๎มะจะริยานุคคะหายะ
อิติ   ปุรานัญจะ   เวทะนัง   ปะฏิหังขามิ
นะวัญจะ   เวทะนัง   นะ   อุปปาเทสสามิ
ยาตะรา   จะ   เม   ภะวิสสะติ   อะนะวัชชะตา  
จะ   ผาสุวิหาโร   จาติ 
เราย่อมพิจารณาโดยแยบคาย   แล้วฉันบิณฑบาต
ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน   สนุกสนาน
ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเมามัน   เกิดกำลังพลังทางกาย
ไม่ใช่เป็นไปเพื่อประดับ
ไม่ใช่เป็นไปเพื่อตกแต่ง
แต่ให้เป็นไปเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้
เพื่อความเป็นไปได้แห่งอัตภาพ
เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย
เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์
ด้วยการทำอย่างนี้,  
เราย่อมระงับเสียได้ทุกขเวทนาเก่า   คือความหิว
นะวัญจะ   เวทะนัง   นะ   อุปปาเทสสามิ 
และไม่ทำทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น
อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วย
ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วยและความเป็นอยู่อย่างผาสุกด้วยจักมีแก่เรา ดังนี้

ปะฏิสังขา   โยนิโส   เสนาสนะ   ปะฏิเสวามิ
ยาวะเทวะ   สีตัสสะ   ปะฏิคาตายะ
อุณ๎หัสสะ   ปฏิคาตายะ ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง   ปะฏิฆาตายะ
ยาวะเทวะ   อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง  
ปะฏิสัลลานารามัตถัง

เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ใช้สอยเสนาสนะ
เพียงเพื่อบำบัดความหนาวเพื่อบำบัดความร้อน
เพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ   ยุง   ลม   แดด   และสัตว์ เลื้อยคลานทั้งหลาย
เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟ้าอากาศ,   และเพื่อ ความเป็นผู้ยินดีอยู่ได้ในที่หลีกเร้นสำหรับภาวนา

ปะฏิสังขา   โยนิโส   คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง   ปะฏิเสวามิ ยาวะเทวะ   อุปปันนานัง   เวยยาพาธิกานัง   เวทะนานัง   ปะฏิฆาตายะ อัพ๎ยาปัชฌะปะระมะตายาติ

เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้ว บริโภคเภสัชบริขารอันเกื้อกูลแก่คนไข้เพียงเพื่อบำบัดทุกขเวทนาอันบังเกิดขึ้นแล้ว   มีอาพาธต่าง ๆ เป็นมูล
เพื่อความเป็นผู้ไม่มีโรคเบียดเบียน   เป็นอย่างยิ่ง   ดังนี้
………………….
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ

ข้าพเจ้าน้อมกราบมหาอนุโมทนาทุกย่างก้าวแห่งความเพียรของท่านทั้งหลาย

ขอการกล่าวมหาอนุโมทนาในครั้งนี้จงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความเจริญแก่ข้าพเจ้า แก่ญาติของข้าพเจ้า
มีบิดามารดาปู่ย่าตายาย ผู้มีพระคุณทั้งหลายตลอดกาลนานเทอญ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐานสูตร

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐานสูตร

ภิกษุ..ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้น
ทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ก็เพียงสักว่าความรู้
เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว
และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก อย่างนี้แล
ภิกษุ..ชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
——————–
น้อมกราบพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ
แห่งพระรัตนตรัยด้วยศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหว

9/1/67

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระขึ้น15ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ

วันนี้..วันพระขึ้น15ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ
……………………………………
.มีความชรา..ซ่อนอยู่ในความหนุ่มสาว..
.มีความเจ็บไข้..ซ่อนอยู่ในความไม่มีโรค…
.มีความตาย..ซ่อนอยู่ในความมีชีวิต..

วันนี้..วันพระขึ้น8ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ

วันนี้..วันพระขึ้น8ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ
………………………………………..
ขันติ..เป็นเครื่องประดับแห่งตน
——————————–

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ20Like12CommentShare

Public12. 20 3:27 am

สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดี…

“มาร” คือ สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดี หรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี ตัวการที่กำจัด หรือขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุผลสำเร็จอันดีงาม  มารมี 5 อย่าง ได้แก่

1. ขันธมาร  มาร คือ เบญจขันธ์หรือขันธ์ 5 เป็นมารเพราะถูกปัจจัยปรุงแต่งเป็นไปเพื่อทุกข์ ไม่คงทนถาวร ถูกบีบคั้นเพราะหิวกระหายเจ็บป่วย

2. กิเลสมาร  มาร คือ กิเลส บุคคลเมื่อถูกกิเลสครอบงำก็กระทำสิ่งต่างๆ ไปตามความอยากของกิเลส

3. อภิสังขารมาร  มาร คือ อภิสังขาร เจตนาเป็นตัวปรุงแต่งชักนำบุคคลไปในทางบาปทางที่ผิด ชีวิตตกต่ำลงเรื่อยๆ

4. มัจจุมาร  มาร คือ มรณะ คือ ความตาย เมื่อชีวิตหมดสิ้นลงก็หมดโอกาสการทำความดี

5. เทวปุตตมาร  มาร คือ เทพบุตร คือ พญามารในชั้นปรนิมมิตวสวัตตี มารคอยขัดขวางการทำความดี ชักนำตนให้อยู่ในกิเลส ไม่ให้พ้นจากอำนาจของตนได้

ในพระพุทธศาสนาเป็นเทพบุตรมาร จึงถูกพระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า มารผู้มีบาป เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ที่ได้ชื่อว่าเป็นมารเพราะชอบมาผจญผู้ที่จะทำความดีต่าง ๆ
———————–