ปุตตมังสสูตร

๓. ปุตตมังสสูตร
ว่าด้วยเนื้อบุตร
  {๒๔๐} สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า
           “ภิกษุทั้งหลาย    อาหาร    ๔    อย่างนี้    เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดแล้ว    หรือเพื่ออนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด
           อาหาร    ๔    อย่าง    อะไรบ้าง    คือ
                         ๑.    กวฬิงการาหาร    ที่หยาบหรือละเอียด
                         ๒.    ผัสสาหาร
                         ๓.    มโนสัญเจตนาหาร
                         ๔.    วิญญาณาหาร
           อาหาร    ๔    อย่างนี้    เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้เกิดแล้ว    หรือเพื่อ
อนุเคราะห์หมู่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด

กวฬิงการาหาร    จะพึงเห็นได้อย่างไร
           คือ    เปรียบเหมือนภรรยาสามีทั้งสอง    ถือเอาเสบียงเล็กน้อย    เดินทางกันดาร(๑-)           เขาทั้งสองมีบุตรน้อย    ๑    คน  ทั้งน่ารักและน่าพอใจ    ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางกันดาร    เสบียงที่มีเพียงเล็กน้อยได้หมดสิ้นไป    แต่ทางกันดารของพวกเขายังไม่ผ่านไป  ยังเหลืออยู่ไกล    ลำดับนั้น    เขาทั้งสองตกลงกันว่า    ‘เสบียงที่เหลืออยู่เล็กน้อย    ได้หมดสิ้นไปแล้ว    แต่ทางกันดารยังเหลืออยู่ไกล    ทางที่ดี    พวกเราช่วยกันฆ่าบุตรน้อย    ที่น่ารักน่าพอใจคนนี้เสีย            ทำเป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง    บริโภคเนื้อบุตร    ก็จะข้ามพ้นทางกันดารที่เหลืออยู่ได้    เราทั้ง    ๓    อย่าพินาศพร้อมกันเลย’    ต่อมา    ภรรยาสามีทั้งสองนั้นก็ฆ่าบุตรน้อยที่น่ารักน่าพอใจคนนั้น    ทำเป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง    บริโภคเนื้อบุตรนั้นแหละจึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นไปได้    พวกเขาบริโภคเนื้อบุตรไปพลาง    ทุบอกไปพลางรำพันว่า    ‘บุตรน้อยอยู่ที่ไหน    บุตรน้อยอยู่ที่ไหน’
           เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร
           คือ    พวกเขาบริโภคเนื้อบุตรเป็นอาหาร    เพื่อเล่น    เพื่อความมัวเมา    หรือเพื่อตกแต่ง    เพื่อประดับร่างกายหรือ”
           “หามิได้    พระพุทธเจ้าข้า”
           “พวกเขาบริโภคอาหารที่ปรุงจากเนื้อบุตรเพียงเพื่อจะข้ามทางกันดารให้พ้นหรือ”
           “ใช่    พระพุทธเจ้าข้า”
           “ภิกษุทั้งหลาย    อุปมานี้ฉันใด    อุปไมยก็ฉันนั้น    เรากล่าวว่า    ‘บุคคลพึงเห็นกวฬิงการาหาร    (เปรียบเหมือนเนื้อบุตร)’    เมื่ออริยสาวกกำหนด (๒-) รู้กวฬิงการาหารได้แล้ว    ก็เป็นอันกำหนดรู้ราคะซึ่งเกิดจากกามคุณ    ๕    เมื่อกำหนดรู้ราคะซึ่งเกิดจากกามคุณ    ๕    ได้แล้ว    สังโยชน์ที่เป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีก    ก็ไม่มี

ผัสสาหาร    จะพึงเห็นได้อย่างไร
           คือ    เปรียบเหมือนแม่โคที่ไม่มีหนังหุ้ม    ถ้ายืนพิงฝาอยู่    ก็จะถูกฝูงสัตว์ที่อาศัยฝาเจาะกิน    ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่    ก็จะถูกฝูงสัตว์ที่อาศัยต้นไม้เจาะกิน    ถ้าลงไปยืนแช่น้ำอยู่    ก็จะถูกฝูงสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำกัดกิน    ถ้ายืนอยู่ในที่แจ้ง    ก็จะถูกฝูงสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะจิกกิน    ไม่ว่าแม่โคตัวที่ไม่มีหนังหุ้มตัวนั้นจะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใด  ๆ    ก็ตาม    ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้น  ๆ    กัดกินอยู่ร่ำไปอุปมานี้ฉันใด    อุปไมยก็ฉันนั้น    เรากล่าวว่า    ‘บุคคลพึงเห็นผัสสาหาร    (เปรียบเหมือนแม่โคที่ไม่มีหนังหุ้ม)’    เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนา    ๓    ประการ    เมื่อกำหนดรู้เวทนา    ๓๑    ประการได้แล้ว    เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งไปกว่านี้

มโนสัญเจตนาหาร    จะพึงเห็นได้อย่างไร
           คือ    เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง    ลึกกว่าชั่วคน    เต็มไปด้วยถ่านเพลิง    ไม่มีเปลวไม่มีควัน    ครั้งนั้นบุรุษคนหนึ่งต้องการมีชีวิตไม่อยากตาย    รักสุขเกลียดทุกข์เดินมาบุรุษมีกำลัง    ๒    คนจับแขนของเขาคนละข้างฉุดไปลงหลุมถ่านเพลิง    ทันใดนั้น    เขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจจะไปให้ไกลจากหลุมถ่านเพลิง
           ข้อนั้นเพราะเหตุไร
           เพราะเขารู้ว่า    ‘ถ้าเราจักตกหลุมถ่านเพลิงนี้    เราจักต้องตายหรือถึงทุกข์ปางตาย    เพราะเหตุนั้น’   อุปมานี้ฉันใด   อุปไมยก็ฉันนั้น   เรากล่าวว่า  ‘บุคคลพึงเห็นมโนสัญเจตนาหาร    (เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง)’    เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้มโนสัญเจตนาหารได้แล้ว    ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหา    ๓๒    ประการ    เมื่อกำหนดรู้ตัณหา ๓    ประการได้แล้ว    เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งไปกว่านี้

๑ เวทนา  ๓  ได้แก่  (๑)  สุขเวทนา  ความรู้สึกเป็นสุข  (๒)  ทุกขเวทนา  ความรู้สึกเป็นทุกข์  (๓)  อทุกขมสุขเวทนาความรู้สึกเฉย ๆ  หรือเรียกว่าอุเบกขาเวทนา  ที่อริยสาวกกำหนดรู้ด้วยปริญญา  ๓  ในผัสสาหารที่กำหนดรู้แล้ว  
 วิญญาณาหาร    จะพึงเห็นได้อย่างไร
           คือ    เปรียบเหมือนราชบุรุษทั้งหลายจับโจรผู้ประพฤติชั่วได้แล้ว    จึงทูลแสดงแด่พระราชาว่า    ‘ขอเดชะ    ผู้นี้เป็นโจรประพฤติชั่วต่อพระองค์    ขอจงทรงลงพระอาญาตามที่ทรงพระราชประสงค์แก่โจรผู้นี้เถิด’
           พระราชามีพระกระแสรับสั่งว่า    ‘ท่านทั้งหลาย    จงไปช่วยกันประหารมันด้วยหอก    ๑๐๐    เล่มในเวลาเช้า’    ราชบุรุษทั้งหลายก็ช่วยกันประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอก    ๑๐๐    เล่มในเช้าวันนั้น
           ต่อมาในเวลาเที่ยงวัน    พระราชาทรงซักถามราชบุรุษทั้งหลายว่า    ‘ท่านทั้งหลายนักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง’
           ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า    ‘เขายังมีชีวิตอยู่    พระพุทธเจ้าข้า’    จึงมีพระกระแสรับสั่งว่า    ‘ท่านทั้งหลาย    จงไปช่วยกันประหารมันด้วยหอก    ๑๐๐    เล่มในเวลาเที่ยงวัน’    ราชบุรุษทั้งหลายก็ช่วยกันประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอก    ๑๐๐    เล่มในเวลาเที่ยงวัน
           ต่อมาในเวลาเย็น    พระราชาทรงซักถามราชบุรุษทั้งหลายอีกว่า    ‘ท่านทั้งหลายนักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง’
           ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า    ‘เขายังมีชีวิตอยู่    พระพุทธเจ้าข้า’    จึงมีพระกระแสรับสั่งว่า    ‘ท่านทั้งหลาย    จงไปช่วยกันประหารมันด้วยหอก    ๑๐๐    เล่มในเวลาเย็น’
           ราชบุรุษทั้งหลายก็ช่วยกันประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอก    ๑๐๐    เล่ม    ในเวลาเย็น
           เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร
           คือ    เมื่อเขาถูกประหารด้วยหอก    ๓๐๐    เล่มตลอดทั้งวัน    จะพึงได้เสวยทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ    มิใช่หรือ”
  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    เมื่อเขาถูกประหารแม้ด้วยหอก    ๑    เล่ม    ยังได้เสวยทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ    ไม่ต้องพูดถึงเมื่อถูกประหารด้วยหอก๓๐๐    เล่ม”
           “ภิกษุทั้งหลาย    อุปมานี้ฉันใด    อุปไมยก็ฉันนั้น    เรากล่าวว่า    ‘บุคคลพึงเห็นวิญญาณาหาร    (เปรียบเหมือนนักโทษประหาร)’    เมื่ออริยสาวก    กำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้ว                ก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้    เมื่อกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว    เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งไปกว่านี้”
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๑๖  ข้อ ๖๓  หน้า ๑๑๙

————–
…อาหารคือสังขาร….

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระขึ้น 8 ค่ำเดือน 8 ปีมะเส็ง

วันนี้..วันพระขึ้น 8 ค่ำเดือน 8 ปีมะเส็ง
…………………..
มีอนุสติ10 เป็นเครื่องอยู่
1. พุทธานุสติ:
การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เช่น พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ เป็นต้น. 



2. ธัมมานุสติ:
การระลึกถึงคุณของพระธรรม เช่น พระธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง. 



3. สังฆานุสติ:
การระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ เช่น พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมวินัย. 



4. สีลานุสติ:
การระลึกถึงศีลที่ตนได้รักษาไว้. 



5. จาคานุสติ:
การระลึกถึงการให้ทาน การบริจาค การเสียสละ. 



6. เทวตานุสติ:
การระลึกถึงคุณของเทวดาที่เกิดจากความดีที่ได้ทำไว้ เช่น การมีหิริ (ความละอายต่อความชั่ว) และโอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อความชั่ว). 



7. อุปสมานุสติ:
การระลึกถึงพระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาพที่ดับกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง. 



8. มรณานุสติ:
การระลึกถึงความตาย ความไม่เที่ยงของชีวิต เพื่อให้เกิดความไม่ประมาท. 



9. อานาปานสติ:
การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก เพื่อให้จิตใจสงบและมีสมาธิ. 



10. กายคตาสติ:
การพิจารณาร่างกายตามความเป็นจริง โดยเห็นอวัยวะต่างๆ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของปฏิกูล ไม่สะอาด เพื่อคลายความยึดติดในร่างกาย. 


การเจริญอนุสติ 10 ช่วยให้จิตใจสงบ มีสมาธิ และเกิดปัญญาในการดำเนินชีวิต รวมถึงเป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์. 
…………………
สาธุอนุสติ10
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ภิกษุนั้นมีสติปรากฎอยู่ เฉพาะหน้า..

ภิกษุนั้นมีสติปรากฎอยู่
เฉพาะหน้าว่า
“กายมีอยู่”
ก็เพียงเพื่ออาศัย เจริญญาณ
เจริญสติเท่านั้น
ไม่อาศัยตัณหาและทิฏฐิอยู่
ไม่ยืดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลก
ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่

ภิกษุนั้นมีสติปรากฎอยู่
เฉพาะหน้าว่า
“เวทนา”
ก็เพียงเพื่ออาศัย เจริญญาณ
เจริญสติเท่านั้น
ไม่อาศัยตัณหาและทิฏฐิอยู่
ไม่ยืดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลก
ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่

ภิกษุนั้นมีสติปรากฎอยู่
เฉพาะหน้าว่า
“จิตมีอยู่”
ก็เพียงเพื่ออาศัย เจริญญาณ
เจริญสติเท่านั้น
ไม่อาศัยตัณหาและทิฏฐิอยู่
ไม่ยืดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลก
ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่

ภิกษุนั้นมีสติปรากฎอยู่
เฉพาะหน้าว่า
“ธรรมมีอยู่”
ก็เพียงเพื่ออาศัย เจริญญาณ
เจริญสติเท่านั้น
ไม่อาศัยตัณหาและทิฏฐิอยู่
ไม่ยืดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลก
ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรม
ในธรรมทั้งหลาย คือนิวรณ์ 5 ประการอยู่
อย่างนี้แล

———–
สาธุ กาย เวทนา จิต ธรรม

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

หมวดนิวรณ์

หมวดนิวรณ์
          {๑๔๑}ภิกษุทั้งหลาย    ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่    อย่างไร
           คือ   ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย    คือนิวรณ์  ๕ ประการอยู่     ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย    คือ    นิวรณ์    ๕    ประการอยู่    อย่างไร
           คือ    ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑.    เมื่อกามฉันทะภายในมีอยู่    ก็รู้ชัดว่า    ‘กามฉันทะภายในของเรามีอยู่’  หรือเมื่อกามฉันทะภายในไม่มี    ก็รู้ชัดว่า    ‘กามฉันทะภายในของเราไม่มี’    การเกิดขึ้นแห่งกามฉันทะที่ยังไม่เกิดขึ้นมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น    การละกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น  และกามฉันทะที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปอีกด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น

๒.    เมื่อพยาบาทภายในมีอยู่    ก็รู้ชัดว่า    ‘พยาบาทภายในของเรามีอยู่’  หรือเมื่อพยาบาทภายในไม่มี    ก็รู้ชัดว่า    ‘พยาบาทภายในของเราไม่มี’    การเกิดขึ้นแห่งพยาบาทที่ยังไม่เกิดขึ้นมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น    การละพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น    และพยาบาทที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปอีกด้วยเหตุใดก็รู้ชัดเหตุนั้น

๓.    เมื่อถีนมิทธะภายในมีอยู่    ก็รู้ชัดว่า    ‘ถีนมิทธะภายในของเรามีอยู่’หรือเมื่อถีนมิทธะภายในไม่มี    ก็รู้ชัดว่า    ‘ถีนมิทธะภายในของเราไม่มี’    การเกิดขึ้นแห่งถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดขึ้นมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น    การละถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น    และถีนมิทธะที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปอีกด้วยเหตุใดก็รู้ชัดเหตุนั้น

    ๔.เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะภายในมีอยู่    ก็รู้ชัดว่า    ‘อุทธัจจกุกกุจจะภายในของเรามีอยู่’    หรือเมื่ออุทธัจจกุกกุจจะภายในไม่มี    ก็รู้ชัดว่า    ‘อุทธัจจกุกกุจจะภายในของเราไม่มี’               การเกิดขึ้นแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิดขึ้นมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น    การละอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้วมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น    และอุทธัจจกุกกุจจะที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปอีกด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น

๕.    เมื่อวิจิกิจฉาภายในมีอยู่    ก็รู้ชัดว่า    ‘วิจิกิจฉาภายในของเรามีอยู่’หรือเมื่อวิจิกิจฉาภายในไม่มี    ก็รู้ชัดว่า    ‘วิจิกิจฉาภายในของเราไม่มี’    การเกิดขึ้นแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดขึ้นมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัด  เหตุนั้น    การละวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วมีได้ด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้นและวิจิกิจฉาที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปอีกด้วยเหตุใด    ก็รู้ชัดเหตุนั้น

           ด้วยวิธีนี้    ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายภายในอยู่    พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายภายนอกอยู่    หรือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายทั้งภายในทั้งภายนอกอยู่    พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในธรรมทั้งหลายอยู่    พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในธรรมทั้งหลายอยู่    หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรมเป็นเหตุดับในธรรมทั้งหลายอยู่

           หรือว่า    ภิกษุนั้นมีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า  ‘ธรรมมีอยู่’   ก็เพียงเพื่ออาศัยเจริญญาณ    เจริญสติเท่านั้น    ไม่อาศัย(ตัณหาและทิฏฐิ)อยู่    ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร  ๆในโลก    ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย    คือ    นิวรณ์    ๕    ประการอยู่อย่างนี้แล

พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๑๒  หน้า ๑๑๒

—————-
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

อนุตริย 6 ประการ

อนุตริย 6 ประการ ประกอบด้วย:
1. ทัสสนานุตตริยะ 
การเห็นอันประเสริฐ หมายถึง การได้เห็นพระพุทธเจ้า หรือการได้เห็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า. 


2. สวนานุตตริยะ 
การฟังอันประเสริฐ หมายถึง การได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า. 


3. ลาภานุตตริยะ 
การได้อันประเสริฐ หมายถึง การได้ศรัทธา ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์). 


4. สิกขานุตตริยะ 
การศึกษาอันประเสริฐ หมายถึง การศึกษาพระธรรมวินัย และฝึกฝนตนเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า. 


5. ปาริจริยานุตตริยะ
การบำรุงเลี้ยงอันประเสริฐ หมายถึง การบำรุงเลี้ยงครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่ควรแก่การเคารพบูชา. 

6. อนุสสตานุตตริยะ 
การระลึกถึงอันประเสริฐ หมายถึง การระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย หรือการระลึกถึงความตาย. 

————–
การได้เห็น การได้ฟัง การได้โอกาส
การได้ศึกษา การได้ทำนุบำรุง
การได้ระลึกถึง เป็นความประเสริฐสูงสุดในชีวิต

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

๓. อุปนิสสูตร

๓. อุปนิสสูตร
ว่าด้วยธรรมที่อาศัยกัน
  [๒๓]    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  …  เขตกรุงสาวัตถี
           “ภิกษุทั้งหลาย    เราเมื่อรู้เห็น    จึงกล่าวถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายเราเมื่อไม่รู้เห็น    จึงไม่กล่าวถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
           เมื่อรู้เห็นอะไร   ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายจึงมี    คือ  เมื่อเรารู้เห็นอย่างนี้ว่า
           ‘รูปเป็นอย่างนี้    ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นอย่างนี้    ความดับแห่งรูปเป็นอย่างนี้
           เวทนาเป็นอย่างนี้    ฯลฯ
           สัญญาเป็นอย่างนี้    ฯลฯ
           สังขารเป็นอย่างนี้    ฯลฯ
           วิญญาณเป็นอย่างนี้    ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นอย่างนี้    ความดับแห่งวิญญาณเป็นอย่างนี้’
 เราเมื่อรู้เห็นอย่างนี้แล    ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายจึงมี
   เมื่อธรรมเป็นที่สิ้นไป(๑  )  มีอยู่    ขยญาณ(ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไป)    แม้ใด    ย่อมมีเรากล่าวว่าขยญาณแม้นั้นมีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่ง  ขยญาณ    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘วิมุตติ‘(๒)

           เรากล่าวว่าแม้วิมุตติก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งวิมุตติ    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘วิราคะ‘(๓)
           เรากล่าวว่าแม้วิราคะก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งวิราคะ    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘นิพพิทา‘(๔)
           เรากล่าวว่าแม้นิพพิทาก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งนิพพิทา    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ยถาภูตญาณทัสสนะ‘(๕)

           เรากล่าวว่าแม้ยถาภูตญาณทัสสนะก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งยถาภูตญาณทัสสนะ    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘สมาธิ’
           เรากล่าวว่าแม้สมาธิก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งสมาธิ    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘สุข’
           เรากล่าวว่าแม้สุขก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งสุข    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ปัสสัทธิ‘(๖)

           เรากล่าวว่าแม้ปัสสัทธิก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งปัสสัทธิ    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ปีติ’
เรากล่าวว่าแม้ปีติก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งปีติ    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ปราโมทย์’

           เรากล่าวว่าแม้ปราโมทย์ก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งปราโมทย์    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ศรัทธา’
           เรากล่าวว่าแม้ศรัทธาก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งศรัทธา    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ทุกข์’

           เรากล่าวว่าแม้ทุกข์ก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งทุกข์    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ชาติ’

           เรากล่าวว่าแม้ชาติก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งชาติ    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ภพ’

           เรากล่าวว่าแม้ภพก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งภพ    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘อุปาทาน’
           เรากล่าวว่าแม้อุปาทานก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งอุปาทาน    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ตัณหา’

           เรากล่าวว่าแม้ตัณหาก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งตัณหา    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘เวทนา’    ฯลฯ
           สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘ผัสสะ’  …  สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘สฬายตนะ’  …  สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘นามรูป’  …  สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘วิญญาณ’  …  สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘สังขารทั้งหลาย’

           เรากล่าวว่าแม้สังขารทั้งหลายก็มีที่อาศัย    มิได้กล่าวว่าไม่มีที่อาศัย    อะไรเล่าเป็นที่อาศัยแห่งสังขารทั้งหลาย    สิ่งนั้นควรเรียกว่า    ‘อวิชชา’
           ภิกษุทั้งหลาย    เพราะเหตุนี้    
สังขารทั้งหลายมีอวิชชาเป็นที่อาศัย    
วิญญาณมีสังขารเป็นที่อาศัย    
นามรูปมีวิญญาณเป็นที่อาศัย    
สฬายตนะมีนามรูปเป็นที่อาศัย
ผัสสะมีสฬายตนะเป็นที่อาศัย    
เวทนามีผัสสะเป็นที่อาศัย    
ตัณหามีเวทนาเป็นที่อาศัย
อุปาทานมีตัณหาเป็นที่อาศัย    
ภพมีอุปาทานเป็นที่อาศัย    ชาติมีภพเป็นที่อาศัย    
ทุกข์มีชาติเป็นที่อาศัย    ศรัทธามีทุกข์เป็นที่อาศัย    
ปราโมทย์มีศรัทธาเป็นที่อาศัย    ปีติมีปราโมทย์เป็นที่อาศัย    ปัสสัทธิมีปีติเป็นที่อาศัย    สุขมีปัสสัทธิเป็นที่อาศัย    
สมาธิมีสุขเป็นที่อาศัย    ยถาภูตญาณทัสสนะมีสมาธิเป็นที่อาศัย    นิพพิทามียถาภูตญาณทัสสนะเป็นที่อาศัย    
วิราคะมีนิพพิทาเป็นที่อาศัย    
วิมุตติมีวิราคะเป็นที่อาศัยขยญาณมีวิมุตติเป็นที่อาศัย

  เมื่อฝนเม็ดใหญ่ตกบนยอดภูเขา    น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม    ทำให้ซอกเขา    ลำธารและห้วยเต็มเปี่ยม    ซอกเขา    ลำธารและห้วยทั้งหลายเต็มเปี่ยมแล้ว    ทำหนองน้ำให้เต็มหนองน้ำเต็มเปี่ยมแล้ว    ทำบึงให้เต็ม    บึงเต็มแล้ว    ทำแม่น้ำน้อยให้เต็ม    แม่น้ำน้อยเต็มแล้ว    ทำแม่น้ำใหญ่ให้เต็ม    แม่น้ำใหญ่เต็มแล้ว    ก็ทำมหาสมุทรให้เต็ม    แม้ฉันใด

           ภิกษุทั้งหลาย    สังขารทั้งหลายมีอวิชชาเป็นที่อาศัย    วิญญาณมีสังขารเป็นที่อาศัย    นามรูปมีวิญญาณเป็นที่อาศัย    สฬายตนะมีนามรูปเป็นที่อาศัย    ผัสสะมีสฬายตนะเป็นที่อาศัย    เวทนามีผัสสะเป็นที่อาศัย    ตัณหามีเวทนาเป็นที่อาศัยอุปาทานมีตัณหาเป็นที่อาศัย    ภพมีอุปาทานเป็นที่อาศัย    ชาติมีภพเป็นที่อาศัย    ทุกข์มีชาติเป็นที่อาศัย    ศรัทธามีทุกข์เป็นที่อาศัย    ปราโมทย์มีศรัทธาเป็นที่อาศัย    ปีติมีปราโมทย์เป็นที่อาศัย    ปัสสัทธิมีปีติเป็นที่อาศัย    สุขมีปัสสัทธิเป็นที่อาศัย    สมาธิมีสุขเป็นที่อาศัย    ยถาภูตญาณทัสสนะมีสมาธิเป็นที่อาศัย    นิพพิทามียถาภูตญาณทัสสนะเป็นที่อาศัย    วิราคะมีนิพพิทาเป็นที่อาศัย    วิมุตติมีวิราคะเป็นที่อาศัย    ขยญาณมีวิมุตติเป็นที่อาศัย    ฉันนั้นเหมือนกัน
อุปนิสสูตรที่ ๓ จบ
————————-
ศรัทธามีทุกข์เป็นที่อาศัย
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

๓. ธัมมทายาทสูตร

๓. ธัมมทายาทสูตร
ว่าด้วยทายาทแห่งธรรม
            [๒๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
            สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี      เขตกรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้พระภาคได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
            “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาทของเรา อย่าเป็นอามิสทายาทเลย เรามีความเอ็นดูในพวกเธออยู่ว่า ‘ทำอย่างไรหนอ สาวกทั้งหลายของเราจะพึงเป็นธรรมทายาท      ไม่เป็นอามิสทายาท’

หากเธอทั้งหลายเป็นอามิสทายาทของเรา ไม่เป็นธรรมทายาท เพราะข้อนั้น เธอทั้งหลายจะพึงถูกวิญญูชนทั้งหลายติเตียนว่า ‘สาวกของพระศาสดาเป็นอามิสทายาทอยู่ ไม่เป็นธรรมทายาท’ แม้เราก็จะพึงถูกวิญญูชนทั้งหลายติเตียนว่า ‘สาวกของพระศาสดาเป็นอามิสทายาทอยู่ไม่เป็นธรรมทายาท’

หากเธอทั้งหลายจะพึงเป็นธรรมทายาทของเรา ไม่เป็นอามิสทายาท เพราะข้อนั้น เธอทั้งหลายจะไม่พึงถูกวิญญูชนทั้งหลายติเตียนว่า ‘สาวกของพระศาสดาเป็นธรรมทายาทอยู่ ไม่เป็นอามิสทายาท’ แม้เราก็จะไม่พึงถูกวิญญูชนทั้งหลายติเตียนว่า ‘สาวกของพระศาสดาเป็นอามิสทายาทอยู่ ไม่เป็นธรรมทายาท’

            ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาทของเราเถิด  อย่าเป็นอามิสทายาทเลย เพราะเราก็มีความเอ็นดูในเธอทั้งหลายอยู่ว่า ‘ทำอย่างไรหนอ สาวกทั้งหลายของเราจะพึงเป็นธรรมทายาท ไม่เป็นอามิสทายาท’

            ภิกษุทั้งหลาย หากเราจะพึงเป็นผู้ฉันเสร็จ  ห้ามภัตเรียบร้อยแล้ว สิ้นสุดภัตกิจ     มีความสุขตามความต้องการแล้ว แต่บิณฑบาตของเรายังมีเหลือ  จะต้องทิ้ง ในเวลานั้น ภิกษุ ๒ รูป  ถูกความหิวและความอ่อนเพลียครอบงำ  พากันมา  เราควรกล่าวกับภิกษุทั้ง ๒ รูปนั้นอย่างนี้ว่า

‘ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นผู้ฉันเสร็จ  ห้ามภัตเรียบร้อยแล้ว สิ้นสุดภัตกิจ มีความสุขตามความต้องการแล้ว แต่บิณฑบาตนี้ของเรายังมีเหลือ  จะต้องทิ้ง หากเธอทั้งหลายประสงค์ ก็จงฉันเถิด  หากเธอทั้งหลายจะไม่ฉัน บัดนี้ เราจะทิ้งลงบนพื้นที่ปราศจากของสดเขียว หรือเทลงในน้ำที่ปราศจากตัวสัตว์’

ภิกษุ ๒ รูปนั้น รูปหนึ่งมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘พระผู้มีพระภาคได้เสวยเสร็จ ห้ามภัตเรียบร้อยแล้ว สิ้นสุดภัตกิจ มีความสุขตามความต้องการแล้ว แต่บิณฑบาตของพระผู้มีพระภาคนี้ ยังมีเหลือ จะต้องทิ้ง หากเราจะไม่ฉัน บัดนี้ พระผู้มีพระภาคก็จะทรงทิ้งลงบนพื้นที่ปราศจากของสดเขียว  หรือทรงเทลงในน้ำที่ปราศจากตัวสัตว์ แต่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า

‘ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาทของเรา อย่าเป็นอามิสทายาทเลย’ บิณฑบาตนี้เป็นอามิสอย่างหนึ่ง ทางที่ดี เราจะไม่ฉันบิณฑบาตนี้  แล้วให้วันคืนผ่านพ้นไปอย่างนี้  ด้วยความหิวและความอ่อนเพลียนี้แล’ เธอจึงไม่ฉันบิณฑบาตนั้น แล้วให้วันคืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างนี้ ด้วยความหิวและความอ่อนเพลียนั้นแล

            ลำดับนั้น ภิกษุรูปที่ ๒ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ‘พระผู้มีพระภาคได้เสวยเสร็จ ห้ามภัตเรียบร้อยแล้ว สิ้นสุดภัตกิจ มีความสุขตามความต้องการแล้ว แต่บิณฑบาตของพระผู้มีพระภาคนี้ยังมีเหลือ  จะต้องทิ้ง หากเราจะไม่ฉัน บัดนี้ พระผู้มีพระภาคก็จะทรงทิ้งลงบนพื้นที่ปราศจากของสดเขียว หรือทรงเทลงในน้ำที่ปราศจากตัวสัตว์ ทางที่ดี เราควรฉันบิณฑบาตนี้บรรเทาความหิวและความอ่อนเพลีย  แล้วให้วันคืนผ่านพ้นไปอย่างนี้’ เธอจึงฉันบิณฑบาตนั้นบรรเทาความหิวและความอ่อนเพลีย  แล้วให้วันคืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างนี้

            ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ (รูปที่ ๒) นั้น  ฉันบิณฑบาตนั้นบรรเทาความหิวและความอ่อนเพลียแล้วให้วันคืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างนี้ แต่ภิกษุรูปแรกนั้น  ก็ยังเป็นผู้ควรบูชาและสรรเสริญกว่า  ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะการไม่ฉันบิณฑบาตของภิกษุรูปแรกนั้น  จักเป็นไปเพื่อความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา เลี้ยงง่าย ปรารภความเพียรสิ้นกาลนาน เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาทของเราเถิด อย่าเป็นอามิสทายาทเลย เพราะเราก็มีความเอ็นดูในเธอทั้งหลายอยู่ว่า ‘ทำอย่างไรหนอ สาวกทั้งหลายของเราจะพึงเป็นธรรมทายาท ไม่เป็นอามิสทายาท”

            พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระดำรัสนี้แล้ว พระสุคตครั้นตรัสพระดำรัสนี้แล้วก็เสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปยังพระวิหาร
ความไม่สนใจศึกษาวิเวก
            เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จจากไปไม่นาน ท่านพระสารีบุตร ได้เรียกภิกษุทั้งหลายในวิหารนั้นมากล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้นรับคำแล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุเท่าไรหนอ เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก(๑- )สาวกทั้งหลายไม่สนใจศึกษาวิเวก ด้วยเหตุเท่าไรหนอ เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายสนใจศึกษาวิเวก”

            ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า “ท่านผู้มีอายุ พวกกระผมมาจากที่ไกลเพื่อจะทราบเนื้อความแห่งภาษิตนี้ในสำนักของท่านพระสารีบุตร พวกกระผมขอโอกาส ขอท่านพระสารีบุตรได้โปรดแสดงเนื้อความแห่งภาษิตนั้นเถิด เพื่อภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ฟังแล้วจะทรงจำไว้ได้”
            ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงฟังจงใส่ใจให้ดี กระผมจักกล่าว”

            ภิกษุเหล่านั้นรับคำแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวเรื่องนี้ว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุเท่าไรหนอ เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายไม่สนใจศึกษาวิเวก เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายในพระธรรมวินัยนี้สนใจศึกษาวิเวก ไม่ละธรรมทั้งหลายที่พระศาสดาตรัสว่าควรละ เป็นผู้มักมาก เป็นผู้ย่อหย่อน(๒-) เป็นผู้นำในโวกกมนธรรม(๓-)
ทอดธุระ(๔-)ในปวิเวก(๑-) บรรดาภิกษุเหล่านั้น

ภิกษุผู้เป็นเถระเป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะ(๒-) ๓ประการ คือ
เป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะที่ ๑ ว่า ‘เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายไม่สนใจศึกษาวิเวก’
เป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะที่ ๒ ว่า ‘สาวกทั้งหลายไม่ละธรรมทั้งหลายที่พระศาสดาตรัสว่า ควรละ’

และเป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะที่ ๓ ว่า ‘สาวกทั้งหลายเป็นผู้มักมาก เป็นผู้ย่อหย่อนเป็นผู้นำในโวกกมนธรรม ทอดธุระในปวิเวก’ ภิกษุผู้เป็นเถระเป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะ ๓ ประการนี้
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้เป็นมัชฌิมะ ฯลฯ

ภิกษุผู้ป็นนวกะ  เป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะ ๓ ประการ คือ
เป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะที่ ๑ ว่า ‘เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายไม่สนใจศึกษาวิเวก’
เป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะที่ ๒ ว่า ‘สาวกทั้งหลายไม่ละธรรมทั้งหลายที่พระศาสดาตรัสว่า ควรละ’
เป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะที่ ๓ ว่า‘สาวกทั้งหลายเป็นผู้มักมาก เป็นผู้ย่อหย่อน เป็นผู้นำในโวกกมนธรรม ทอดธุระในปวิเวก’ ภิกษุผู้เป็นนวกะเป็นผู้ควรถูกติเตียนโดยฐานะ ๓ ประการนี้

            ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุเท่านี้แล เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวกสาวกทั้งหลายชื่อว่าไม่สนใจศึกษาวิเวก
ความสนใจศึกษาวิเวก
            ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุเท่าไรหนอ เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายสนใจศึกษาวิเวก เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายในพระธรรมวินัยนี้สนใจศึกษาวิเวก ละธรรมทั้งหลายที่พระศาสดาตรัสว่า ควรละ ไม่เป็นผู้มักมาก ไม่เป็นผู้ย่อหย่อน ไม่เป็นผู้นำในโวกกมนธรรม  ไม่ทอดธุระในปวิเวก

บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้เป็นเถระเป็นผู้ควรสรรเสริญโดยฐานะ ๓ ประการ คือ
เป็นผู้ควรสรรเสริญโดยฐานะที่ ๑ ว่า ‘เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายสนใจศึกษาวิเวก’
เป็นผู้ควรสรรเสริญโดยฐานะที่ ๒ ว่า ‘สาวกทั้งหลายละธรรมทั้งหลายที่พระศาสดาตรัสว่า ควรละ’
เป็นผู้ควรสรรเสริญโดยฐานะที่ ๓ ว่า ‘สาวกทั้งหลายไม่เป็นผู้มักมาก ไม่เป็นผู้ย่อหย่อนไม่เป็นผู้นำในโวกกมนธรรม ไม่ทอดธุระในปวิเวก’
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้เป็นมัชฌิมะ ฯลฯ
ภิกษุผู้เป็นนวกะเป็นผู้ควรสรรเสริญโดยฐานะ ๓ ประการ คือ เป็นผู้ควรสรรเสริญโดยฐานะที่ ๑ ว่า ‘เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายสนใจศึกษาวิเวก’
เป็นผู้ควรสรรเสริญโดยฐานะที่ ๒ ว่า ‘สาวกทั้งหลายละธรรมทั้งหลาย ที่พระศาสดาตรัสว่า ควรละ’
เป็นผู้ควรสรรเสริญโดยฐานะที่ ๓ว่า ‘สาวกทั้งหลาย ไม่เป็นผู้มักมาก ไม่เป็นผู้ย่อหย่อน ไม่เป็นผู้นำในโวกกมนธรรมไม่ทอดธุระในปวิเวก’ ภิกษุผู้เป็นนวกะเป็นผู้ควรสรรเสริญโดยฐานะ ๓ ประการนี้ด้วยเหตุเท่านี้แล เมื่อพระศาสดาประทับอยู่อย่างมีวิเวก สาวกทั้งหลายชื่อว่าสนใจศึกษาวิเวก
มัชฌิมาปฏิปทา
            ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย บรรดาธรรมเหล่านั้น โลภะและโทสะเป็นบาป  มัชฌิมาปฏิปทามีอยู่  เพื่อละโลภะและโทสะ เป็นปฏิปทาก่อให้เกิดจักษุ ก่อให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน มัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นปฏิปทาก่อให้เกิดจักษุ ก่อให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อสงบระงับคือ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คืออะไร
            คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
                         ๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ)
                         ๒. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)
                         ๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ)
                         ๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)
                         ๕. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)
                         ๖. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ)
                         ๗. สัมมาสติ (ระลึกชอบ)
                         ๘. สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ)
            นี้แล คือ มัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นปฏิปทาก่อให้เกิดจักษุ ก่อให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
            ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย บรรดาธรรมเหล่านั้น โกธะ(ความโกรธ) อุปนาหะ(ความผูกโกรธ) เป็นบาป มัชฌิมาปฏิปทามีอยู่เพื่อละโกธะและอุปนาหะ เป็นปฏิปทาก่อให้เกิดจักษุ ก่อให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้เพื่อนิพพาน
            มักขะ(ความลบหลู่คุณท่าน)  ปฬาสะ(ความตีเสมอ) …
            อิสสา(ความริษยา)  มัจฉริยะ(ความตระหนี่) …
            มายา(มารยา)  สาเถยยะ(ความโอ้อวด) …
            ถัมภะ(ความหัวดื้อ)  สารัมภะ(ความแข่งดี) …
            มานะ(ความถือตัว)  อติมานะ(ความดูหมิ่นเขา) …
            มทะ(ความมัวเมา)  และปมาทะ(ความประมาท) เป็นบาป มัชฌิมาปฏิปทามีอยู่เพื่อละมทะและปมาทะ เป็นปฏิปทาก่อให้เกิดจักษุ ก่อให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
            มัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นปฏิปทาก่อให้เกิดจักษุ ก่อให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คืออะไร
            คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
                         ๑. สัมมาทิฏฐิ     ๒. สัมมาสังกัปปะ
                         ๓. สัมมาวาจา     ๔. สัมมากัมมันตะ
                         ๕. สัมมาอาชีวะ ๖. สัมมาวายามะ
                         ๗. สัมมาสติ       ๘. สัมมาสมาธิ
            นี้แล คือ มัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นปฏิปทาก่อให้เกิดจักษุ ก่อให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน”
            ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีต่างชื่นชมภาษิตของท่านพระสารีบุตร ดังนี้แล

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]  ข้อ ๒๙ หน้า  ๒๗
————–

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

จันทูปมาสูตร

๓. จันทูปมาสูตร
ว่าด้วยการเปรียบเทียบภิกษุกับดวงจันทร์
            [๑๔๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตะวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
            “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นเหมือนดวงจันทร์ จงพรากกาย(๑-) พรากจิตออก            เป็นผู้ใหม่เป็นนิจ(๒-) ไม่คะนอง(๓-) เข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลายเถิด
            เปรียบเหมือนบุรุษพึงพรากกายพรากจิต แลดูบ่อน้ำซึ่งคร่ำคร่า ภูเขาที่ขรุขระ หรือแม่น้ำที่ขาดเป็นห้วงๆ อุปมานี้ฉันใด อุปไมยนั้นก็ฉันนั้น เธอทั้งหลายก็จงเป็นเหมือนดวงจันทร์จงพรากกายพรากจิตออก เป็นผู้ใหม่เป็นนิจ ไม่คะนอง เข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลาย
            กัสสปะเปรียบเหมือนดวงจันทร์ พรากกายพรากจิตออก เป็นผู้ใหม่เป็นนิจไม่คะนองเข้าไปสู่ตระกูลทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ภิกษุเช่นไรจึงสมควรเข้าไปสู่ตระกูล
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นหลัก                 มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ขอประทานวโรกาส เฉพาะพระผู้มีพระภาคเท่านั้น ที่จะทรงอธิบายเนื้อความแห่งภาษิตนั้นให้แจ่มแจ้งได้ ภิกษุทั้งหลายฟังต่อจากพระผู้มีพระภาคแล้วจักทรงจำไว้”
            ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงโบกฝ่าพระหัตถ์ในอากาศ ตรัสว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย ฝ่ามือนี้ไม่ข้อง ไม่ยึด ไม่ติดในอากาศ ฉันใด จิตของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งผู้เข้าไปสู่ตระกูล ไม่ข้อง ไม่ยึด ไม่ติดในตระกูลทั้งหลาย โดยคิดว่า ‘ผู้ปรารถนาลาภ  จงได้ลาภส่วนผู้ปรารถนาบุญ จงทำบุญ’ ฉันนั้น ภิกษุเป็นผู้พอใจ ดีใจ ด้วยลาภอันเป็นของตน ฉันใด         ก็จงเป็นผู้พอใจ ดีใจ ด้วยลาภของชนเหล่าอื่น ฉันนั้น ภิกษุเช่นนี้จึงสมควรเข้าไปสู่ตระกูล
            จิตของกัสสปะผู้เข้าไปสู่ตระกูล ไม่ข้อง ไม่ยึด ไม่ติดในตระกูลทั้งหลาย โดยคิดว่า       ‘ผู้ปรารถนาลาภ จงได้ลาภ ส่วนผู้ปรารถนาบุญ จงทำบุญ’ กัสสปะเป็นผู้พอใจ ดีใจ ด้วยลาภอันเป็นของตน ฉันใด ภิกษุเป็นผู้พอใจ ดีใจ ด้วยลาภของชนเหล่าอื่น ฉันนั้น

            เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ธรรมเทศนาของภิกษุเช่นไร ไม่บริสุทธิ์ของภิกษุเช่นไรบริสุทธิ์”
            “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย  มีพระผู้มีพระภาคเป็นหลัก             มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอประทานวโรกาส เฉพาะพระผู้มีพระภาคเท่านั้น  ที่จะทรงอธิบายเนื้อความแห่งภาษิตนั้นให้แจ่มแจ้งได้ ภิกษุทั้งหลายฟังต่อจากพระผู้มีพระภาคแล้วจักทรงจำไว้”
            “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นเธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว”
            ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
            ‘ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘ไฉนหนอ ชนทั้งหลายพึงฟังธรรมของเรา ครั้นฟังแล้ว พึงเลื่อมใสธรรม และผู้ที่เลื่อมใสแล้ว พึงทำอาการของผู้ที่เลื่อมใสต่อเรา’ จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น
            ธรรมเทศนาของภิกษุเช่นนี้ชื่อว่าไม่บริสุทธิ์

            ส่วนภิกษุรูปใดรูปหนึ่งมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ไฉนหนอ ชนทั้งหลายพึงฟังธรรมของเรา ครั้นฟังแล้ว พึงรู้ทั่วถึงธรรม และครั้นรู้ทั่วถึงแล้ว พึงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น’ จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น เธออาศัยความที่ธรรมเป็นธรรมดี  จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความกรุณาจึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น  อาศัยความเอ็นดูจึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความอนุเคราะห์จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น ด้วยประการฉะนี้
            ธรรมเทศนาของภิกษุเช่นนี้ชื่อว่าบริสุทธิ์

            กัสสปะมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว             ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ไฉนหนอ ชนทั้งหลายพึงฟังธรรมของเรา  ครั้นฟังแล้ว พึงรู้ทั่วถึงธรรม และครั้นรู้ทั่วถึงแล้ว พึงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น’ จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น       เธออาศัยความที่ธรรมเป็นธรรมดี  จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความกรุณาจึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความเอ็นดูจึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น อาศัยความอนุเคราะห์จึงแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น ด้วยประการฉะนี้
            ภิกษุทั้งหลาย เราจักกล่าวสอนเธอทั้งหลายให้(ประพฤติ)ตามกัสสปะ หรือผู้ใดพึงเป็นเช่นกัสสปะ เราจักกล่าวสอนให้ประพฤติตามผู้นั้น และเธอทั้งหลายผู้ได้รับโอวาทแล้ว              พึงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น”

@เชิงอรรถ :
@๑ พรากกายพรากจิตออก ในที่นี้หมายถึงให้ภิกษุเว้นจากการตรึกตรองถึงกามวิตกเป็นต้น แม้ว่าจะอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่าก็ตาม (สํ.นิ.อ. ๒/๑๔๖/๑๘๗)
@๒ เป็นผู้ใหม่เป็นนิจ ในที่นี้หมายถึงให้ภิกษุทำตัวเหมือนอาคันตุกะที่เข้าไปสู่ตระกูล ถ้าเจ้าของบ้านเลื่อมใส นิมนต์ให้ฉันก็จงฉัน แต่ถ้าเจ้าของบ้านไม่เลื่อมใส ไม่นิมนต์ ก็ไม่ควรเข้าไปทำความคุ้นเคย (สํ.นิ.อ. ๒/๑๔๖/๑๘๗)
@๓ ไม่คะนอง ในที่นี้หมายถึงให้ภิกษุสำรวมกาย วาจา ใจ ในเวลาอยู่ท่ามกลางหมู่คณะ เป็นต้น(สํ.นิ.อ.๒/๑๔๖/๑๘๘-๑๘๙)

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]  ข้อ  ๑๔๖ หน้า ๑๓๗

วันนี้..วันพระแรม 8 ค่ำเดือน 5 ปีมะเส็ง

วันนี้..วันพระแรม 8 ค่ำเดือน 5 ปีมะเส็ง
…………………………………………..
สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

สวัสดีปีใหม่ไทย ๒๕๖๘

สวัสดีปีใหม่ไทย ๒๕๖๘
สุขสันต์วันสงกรานต์
น้อมกราบอาราธนา คุณพระศรีรัตนตรัย
และอำนาจแห่งทาน ศีล ภาวนา
จงปกปักคุ้มครองรักษาให้ท่าน
เจริญด้วยความสุขกายสุขใจ
เจริญด้วยทรัพย์สมบัติ
เจริญด้วยหน้าที่การงาน
เจริญด้วยกุศลความดี
ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย
สุขภาพแข็งแรงสมปรารถนาทุกประการ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้วันพระ..ขึ้น8ค่ำเดือน5 ปีมะเส็ง – มัจฉริสูตร

วันนี้วันพระ..ขึ้น8ค่ำเดือน5 ปีมะเส็ง
——————————-
๙. มัจฉริสูตร
ว่าด้วยคนตระหนี่
{๑๔๘}[๔๙] เทวดาทูลถามว่า คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น บริภาษผู้อื่น ทำอันตรายแก่คนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ วิบากของคนเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร และภพหน้าจะเป็นเช่นไร ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ว่าจะรู้ข้อความนั้นได้อย่างไร

​{๑๔๙} พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า คนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น บริภาษผู้อื่น ทำอันตรายแก่คนเหล่าอื่นผู้ให้อยู่ คนเหล่านั้นย่อมบังเกิดในนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือยมโลก ถ้าพวกเขามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เกิดในตระกูลคนยากจนซึ่งจะหาท่อนผ้า อาหาร ความยินดี และความสนุกสนานได้ยาก คนพาลเหล่านั้น ต้องการสิ่งใดจากผู้อื่น พวกเขาย่อมไม่ได้แม้สิ่งนั้น นั่นเป็นวิบากในภพนี้ และภพหน้าก็ยังเป็นทุคติอีกด้วย
{๑๕๐} เทวดาทูลถามว่า ข้อนี้ข้าพระองค์เข้าใจอย่างนี้ ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ขอทูลถามข้ออื่น คนเหล่าใดในโลกนี้ ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว รู้เจรจาปราศรัย ปราศจากความตระหนี่ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นผู้มีความเคารพอย่างแรงกล้า วิบากของคนเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร และภพหน้าจะเป็นเช่นไร ข้าพระองค์มาเพื่อทูลถามพระผู้มีพระภาค ว่าจะรู้ข้อความนั้นได้อย่างไร
{๑๕๑} พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า คนเหล่าใดในโลกนี้ ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว รู้เจรจาปราศรัย ปราศจากความตระหนี่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นผู้มีความเคารพอย่างแรงกล้า คนเหล่านั้นย่อมปรากฏในสวรรค์ซึ่งเป็นที่อุบัติของพวกเขา ถ้าพวกเขามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง ซึ่งจะหาท่อนผ้า อาหาร ความยินดี และความสนุกสนานได้ไม่ยาก
บันเทิงใจอยู่ในโภคทรัพย์ที่ผู้อื่นหาสะสมไว้ เหมือนเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี นั่นเป็นวิบากในภพนี้ ทั้งภพหน้าก็เป็นสุคติอีกด้วย

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] หน้า ๖๒
———————-
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

เพราะเหตุว่าบุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย, ทั้งในโลกนี้แลโลกหน้าสืบต่อไป.

กาลทานสุตตคาถา
กาเล ทะทันติ สะปัญญา วะทัญญู วีตะมัจฉะรา

ทายกเหล่าใดเป็นผู้มีปัญญา, รู้จักถ้อยคำพูดปราศจากความตระหนี่,

กาเลนะ ทินนัง อะริเยสุ อุชุภูเตสุ ตาทิสุ,

วิปปะสันนะมะนา ตัสสะ วิปุลา โหติ ทักขิณา,

มีใจเลื่อมใสแล้วในพระอริยเจ้าทั้งหลาย, ผู้มีปรกติเป็นผู้ซื่อตรงคงที่, ให้ทานในกาลถูกต้องตามสมัย, ทักษิณาทานของทายกเหล่านั้น, ย่อมมีผลอันไพบูลย์,

เย ตัตถะ อะนุโมทันติ เวยยาวัจจัง กะโรนติ วา,

ชนเหล่าใดอนุโมทนาหรือช่วยกระทำการขวนขวายในทานนั้น,

นะ เตนะ ทักขิณา โอนา, เตปิ ปุญญัสสะ ภาคิโน,

ทักษิณาทานของทายกเหล่านั้นก็มิได้บกพร่องไป, เพราะเหตุนั้น, ชนทั้งหลายเหล่านั้น ก็ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญนั้นด้วย,

ตัส๎มา ทะเท อัปปะฏิวานะจิตโต, ยัตถะ ทินนัง มะหัปผะลัง,

เพราะเหตุนั้นแล, ท่านทั้งหลายควรเป็นผู้มีใจอันไม่ท้อถอย, เมื่อให้ทานในที่ใดๆ มีผลมาก, ก็ควรให้ทานในที่นั้นๆ เถิด,

ปุญญานิ ปะระโลกัส๎มิง, ปะติฏฐา โหนติ ปาณินันติ,

เพราะเหตุว่าบุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย, ทั้งในโลกนี้แลโลกหน้าสืบต่อไป.

————-
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ