วันนี้..วันพระขึ้น 8 ค่ำเดือน 4 ปีมะโรง

วันนี้..วันพระขึ้น 8 ค่ำเดือน 4 ปีมะโรง
…………………………………………..
ผลของการกระทำ..มีผลลัพธ์เสมอ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันนี้พระแรม 14 ค่ำสิ้นเดือน 3 ปีมะโรง

วันนี้..วันนี้พระแรม 14 ค่ำสิ้นเดือน 3 ปีมะโรง
…………………………………….
รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง
สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็น อนัตตา
เธอทั้งหลายพึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้
จิตย่อมคลายกำหนัดย่อม
หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น
———–
พระสูตร:
อนิจจสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง13Like10Comment2Share

Public2. 26 8:55 am

Valentine’s Day.

Valentine’s Day.
———————————
นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ
–ความรักอื่น เสมอด้วยตน ไม่มี–
———————————
ทำทุกนาที..ให้มีคุณค่า..เมื่อยังแข็งแรง
มีความอดทนพอ..เพื่อให้อภัยต่อผู้อื่น
มีความสม่ำเสมอพอ..ในการเสียสละ
มีความเข้มแข็งพอ..ที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน
มีกำลังใจพอ..เพื่อสร้างประโยชน์ตนและเพื่อนร่วมโลก

ทำลมหายใจให้มีค่า..ด้วยความรักตน
———————————
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ

โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ

[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียวเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้  

ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส  
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิดด้วยประการฉะนี้

ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือ
ด้วยมรรคคือวิราคะสังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ    
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ  
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับด้วยประการฉะนี้

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถาที่ ๑
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไปเพราะมารู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุ

[๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลมตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส  
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิดด้วยประการฉะนี้
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม

อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับ
โดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะสังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ    
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ  
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับด้วยประการฉะนี้

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถาที่ ๒
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย


[๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลมและปฏิโลม
ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้:-
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์โทมนัส อุปายาส  
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิดด้วยประการฉะนี้

ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือ
ด้วยมรรคคือวิราคะสังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ    
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ  เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับด้วยประการฉะนี้
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถาที่ ๓
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น  พราหมณ์นั้นย่อม
กำจัดมารและเสนาเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัยทำอากาศให้สว่าง ฉะนั้น
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔  ข้อ ๑ หน้า ๑

——————-
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระแรม 8 ค่ำเดือนยี่ ปีมะโรง

วันนี้..วันพระแรม 8 ค่ำเดือนยี่ ปีมะโรง
———————————-
ไม่สู้กับใคร..สู้กับใจตน..ชนะใจตนให้ได้ก็พอ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้ วันพระแรม8ค่ำเดือนอ้ายปีมะโรง

วันนี้ วันพระแรม8ค่ำเดือนอ้ายปีมะโรง
…………………………………………..
ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา

แม่ชีทศพร วชิาะบำเพ็ญ

๕. ชิณณสูตร ว่าด้วยความแก่

๕. ชิณณสูตร
ว่าด้วยความแก่
[๑๔๘]    ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
           สมัยหนึ่ง    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่    ณ    พระเวฬุวัน    ฯลฯ
           ครั้งนั้น    ท่านพระมหากัสสปะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ    ถวายอภิวาทแล้วนั่ง    ณ    ที่สมควร    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านพระมหากัสสปะดังนี้ว่า
“กัสสปะ    บัดนี้เธอแก่แล้ว    ผ้าป่านบังสุกุลเหล่านี้ของเธอหนัก    ไม่น่านุ่งห่มเพราะฉะนั้น    เธอจงใช้สอยคหบดีจีวร(๑-)    จงบริโภคโภชนะที่เขานิมนต์    และจงอยู่ในสำนักของเราเถิด”
           “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   เป็นเวลานานมาแล้ว   ข้าพระองค์เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการอยู่ป่าเป็นวัตร    เป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร    เป็นผู้นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร    เป็นผู้ทรงไตรจีวรเป็นวัตรและกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการทรงไตรจีวรเป็นวัตร    เป็นผู้มักน้อย    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความมักน้อย    เป็นผู้สันโดษ    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความสันโดษ    สงัดจากหมู่    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความสงัดจากหมู่    ไม่คลุกคลีด้วยหมู่    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความไม่คลุกคลีด้วยหมู่    เป็นผู้ปรารภความเพียร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการปรารภความเพียร    ตลอดกาลนาน”
“เธอพิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์อะไรจึงเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการอยู่ป่าเป็นวัตร    เป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร    เป็นผู้นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร    เป็นผู้ทรงไตรจีวรเป็นวัตรและกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการทรงไตรจีวรเป็นวัตร    เป็นผู้มักน้อย    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความมักน้อย    เป็นผู้สันโดษ    และกล่าว

เชิงอรรถ
๑ คหบดีจีวร  ในที่นี้หมายถึงผ้าจีวรที่พวกคหบดีถวายแก่ภิกษุเพื่อใช้เป็นผ้าบังสุกุลสำหรับนุ่งห่ม  (สํ.นิ.อ.
  ๒/๑๔๘/๑๙๑)
สรรเสริญคุณแห่งความสันโดษ    สงัดจากหมู่    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความสงัดจากหมู่    ไม่คลุกคลีด้วยหมู่    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งความไม่คลุกคลีด้วยหมู่    เป็นผู้ปรารภความเพียร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการปรารภความเพียร    ตลอดกาลนาน
“ข้าพระองค์พิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์    ๒    ประการ    จึงเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตรและกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการอยู่ป่าเป็นวัตร    เป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร    …เป็นผู้นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร  …  เป็นผู้ทรงไตรจีวรเป็นวัตร  …  เป็นผู้มักน้อย    …เป็นผู้สันโดษ  …  เป็นผู้สงัดจากหมู่  …  ไม่คลุกคลีด้วยหมู่  …  เป็นผู้ปรารภความเพียรและกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการปรารภความเพียร    ตลอดกาลนาน
           คือ    พิจารณาเห็นการอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน(๑-)    และอนุเคราะห์หมู่ชนในภายหลังว่า    ทำอย่างไรหมู่ชนในภายหลังพึงถึงการประพฤติตามแบบอย่างว่า    ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าและพระพุทธสาวกที่ได้มีมาแล้ว    ท่านเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการอยู่ป่าเป็นวัตร    ตลอดกาลนาน    ฯลฯ    เป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร  …  เป็นผู้นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร  …  เป็นผู้ทรงไตรจีวรเป็นวัตร  …  เป็นผู้มักน้อย  …  เป็นผู้สันโดษ  …  เป็นผู้สงัดจากหมู่  …  ไม่คลุกคลีด้วยหมู่  …  เป็นผู้ปรารภความเพียร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการปรารภความเพียร    อย่างนี้
           ท่านเหล่านั้นจักปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น    ข้อปฏิบัติของท่านเหล่านั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์    เพื่อความสุขตลอดกาลนาน
           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    ข้าพระองค์พิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์    ๒    ประการนี้จึงเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการอยู่ป่าเป็นวัตร  …  เป็นผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร  …  เป็นผู้นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร  …  เป็นผู้ทรงไตรจีวรเป็นวัตร  …  

เชิงอรรถ
๑ การอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของตน  ในที่นี้หมายถึงการอยู่ป่าเป็นวัตรอันเป็นสถานที่สัปปายะแก่การ
  ประพฤติธรรม  เพราะไม่มีเสียงรบกวนเหมือนอยู่ในบ้าน  (สํ.นิ.อ.  ๒/๑๔๘/๑๙๒)

เป็นผู้มักน้อย  …  เป็นผู้สันโดษ  …  เป็นผู้สงัดจากหมู่  …  ไม่คลุกคลีด้วยหมู่  …  เป็นผู้ปรารภความเพียร    และกล่าวสรรเสริญคุณแห่งการปรารภความเพียรตลอดกาลนาน”
“ดีละ    ดีละ    กัสสปะ    ได้ยินว่า    เธอปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมากเพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก    เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก    เพื่อประโยชน์เกื้อกูล    เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย    เพราะฉะนั้น    เธอจงนุ่งห่มผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้แล้ว(๑-)    จงเที่ยวบิณฑบาต    และจงอยู่ในป่าเถิด”
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๑๖  ข้อ ๑๔๘  หน้า ๒๔๑

 —————
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระแรม15ค่ำสิ้นเดือน12ปีมะโรง

วันนี้..วันพระแรม15ค่ำสิ้นเดือน12ปีมะโรง
…………………………………
ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญาชื่อว่าอริยทรัพย์ 7 ประการ
ไม่ใช่แก้ว แหวน เงินทอง หรือของมีค่าในทางโลกแต่เป็นของมีค่าในทางธรรม
ทางจิตใจสามารถทําให้มีความสุขได้มากกว่ายั่งยืนกว่าทรัพย์ในทางโลกทั้งปวง

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

๑๐. มหานามสูตร

๑๐. มหานามสูตร
ว่าด้วยเจ้าศากยะมหานามะ
  [๑๐]    สมัยหนึ่ง    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่    ณ    นิโครธาราม    เขตกรุงกบิลพัสดุ์แคว้นสักกะ    ครั้งนั้นแล    เจ้าลลศากยะพระนามว่ามหานามะ (๑ )   เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ    ถวายอภิวาทแล้วนั่ง    ณ    ที่สมควร    ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ที่ที่งบบช
           “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลแล้ว (๒)   รู้ชัดศาสนาแล้ว (๓ )   ส่วนมากย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมชนิดไหน    พระพุทธเจ้าข้า”
           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    “มหานามะ    อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลแล้ว    รู้ชัดศาสนาแล้ว    ส่วนมากย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้    คือ
๑.    อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ระลึกถึงตถาคตว่า    ‘แม้เพราะเหตุนี้    พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์    ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ  เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ    เสด็จไปดี    รู้แจ้งโลก    เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม    เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย    เป็นพระพุทธเจ้า    เป็นพระผู้มีพระภาค’    
 
มหานามะ  สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึงตถาคต    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม  สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภตถาคตดำเนินไปตรงทีเดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม    ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ    เมื่อใจมีปีติ  กายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข    เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญพุทธานุสสติอยู่
  ๒.    อริยสาวกระลึกถึงธรรมว่า    ‘พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว    ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง    ไม่ประกอบด้วยกาล (๑) ควรเรียกให้มาดู    ควรน้อมเข้ามาในตน    อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน’ มหานามะ    สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึงธรรม    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม   ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม  ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม  สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภธรรมดำเนินไปตรงทีเดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม             ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ    เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข    เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ   ล ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญธัมมานุสสติอยู่
 
๑ ไม่ประกอบด้วยกาล  หมายถึงให้ผลไม่จำกัดกาล  คือไม่ขึ้นกับกาลเวลา  ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติทุกเวลา  ทุกโอกาสบรรลุเมื่อใดก็ได้รับผลเมื่อนั้น  (องฺ.ติก.อ.  ๒/๕๔/๑๕๘)
 
๓.    อริยสาวกระลึกถึงพระสงฆ์ว่า    ‘พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี    ปฏิบัติตรง    ปฏิบัติถูกทาง    ปฏิบัติสมควร    ได้แก่อริยบุคคล    ๔    คู่คือ    ๘    บุคคล (๑)    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคนี้  เป็นผู้ควรแก่ของที่เขานำมาถวาย    ควรแก่ของต้อนรับ    ควรแก่ทักษิณา  ควรแก่การทำอัญชลี    เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก’    มหานามะ สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึงพระสงฆ์    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม  สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภพระสงฆ์ดำเนินไปตรงทีเดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม    ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ    เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข    เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญสังฆานุสสติอยู่
๔.    อริยสาวกระลึกถึงศีลของตน    ที่ไม่ขาด    ไม่ทะลุ    ไม่ด่าง    ไม่พร้อย  เป็นไท    ท่านผู้รู้สรรเสริญ    ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิครอบงำ    เป็นไปเพื่อสมาธิ    สมัยใด    งงอริยสาวกระลึกถึงศีล    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้น  ย่อมไม่ถูกราคะฟฃๆชกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม  สมัยนั้นจิตของอริยสาวกนั้น  ย่อมปรารภศีลดำเนินไปตรงทีเดียว                     มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม    ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ  เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข  เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น  มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญสีลานุสสติอยู่
 
๕.    อริยสาวกระลึกถึงจาคะ(การสละ)    ของตนว่า    ‘เป็นลาภของเราหนอเราได้ดีแล้วหนอ    เมื่อหมู่สัตว์ถูกความตระหนี่อันเป็นมลทินกลุ้มรุม  เรามีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน    มีจาคะอันสละแล้ว  มีฝ่ามือชุ่ม    ยินดีในการสละ    ควรแก่การขอ    ยินดีในการแจกทานอยู่ครองเรือน’    มหานามะ    สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึงจาคะ    สมัยนั้นจิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม   ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภจาคะดำเนินไปตรงที่เดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว  ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม  ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข    เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญจาคานุสสติอยู่
๖.    อริยสาวกเจริญเทวตานุสสติว่า    ‘มีเทวดาชั้นจาตุมหาราช    เทวดาชั้นดาวดึงส์    เทวดาชั้นยามา    เทวดาชั้นดุสิต    เทวดาชั้นนิมมานรดี   เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี    เทวดาชั้นพรหมกาย    เทวดาชั้นสูงขึ้นไปกว่านั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด    จุติจากโลกนี้ แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น    แม้เราเองก็มีศรัทธาเช่นนั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีลเช่นใด    จุติจากโลกนี้แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น    แม้เราเองก็มีศีลเช่นนั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใด    จุติจากโลกนี้แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น    แม้เราเองก็มีสุตะ เช่นนั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยจาคะเช่นใด    จุติจากโลกนี้แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น    แม้เราเองก็มีจาคะเช่นนั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเช่นใด    จุติจากโลกนี้แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น แม้เราเองก็มีปัญญาเช่นนั้น’    มหานามะ    สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึง ศรัทธา   ศีล สุตะ    จาคะ    และปัญญาของตน  และของเทวดาเหล่านั้น สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม  ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม    สมัยนั้นจิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภเทวดา  ทั้งหลายดำเนินไปตรงทีเดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม    ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์ย่อมเกิดปีติ    เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้  เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญเทวตานุสสติอยู่
           มหานามะ    อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลแล้ว    รู้ชัดศาสนาแล้ว    ส่วนมากย่อมอยู่ด้วย
วิหารธรรมนี้
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๒๒  ข้อ

วันนี้..วันพระแรม8ค่ำเดือน12ปีมะโรง

วันนี้..วันพระแรม8ค่ำเดือน12ปีมะโรง
…………………………………………….
ความไม่เที่ยง..เกิดขึ้นจริงทุกสถานการณ์

..อย่าประมาทว่าพรุ่งนี้จะมีแก่เรา..

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

น้อมกราบระลึกถึง

น้อมกราบระลึกถึง
ความเลื่อมใสศรัทธาประพฤติปฏิบัติด้วยกายวาจาใจ

ขออาราธนาอำนาจแห่งศีล อำนาจแห่งทาน
อำนาจแห่งการเจริญภาวนา
น้อมถวายผลแห่งกุศลความดีทั้งหลาย
เป็นเครื่องมุทิตาสักการะ
แด่พระครูภาวนาสีลวิสุทธิ์
(พระอาจารย์จรัน อนังคโน)
เนื่องในโอกาสวันอายุวัฒนมงคล
วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
………………….

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ