วันนี้..วันพระแรม15ค่ำสิ้นเดือน12ปีมะโรง

วันนี้..วันพระแรม15ค่ำสิ้นเดือน12ปีมะโรง
…………………………………
ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญาชื่อว่าอริยทรัพย์ 7 ประการ
ไม่ใช่แก้ว แหวน เงินทอง หรือของมีค่าในทางโลกแต่เป็นของมีค่าในทางธรรม
ทางจิตใจสามารถทําให้มีความสุขได้มากกว่ายั่งยืนกว่าทรัพย์ในทางโลกทั้งปวง

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

๑๐. มหานามสูตร

๑๐. มหานามสูตร
ว่าด้วยเจ้าศากยะมหานามะ
  [๑๐]    สมัยหนึ่ง    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่    ณ    นิโครธาราม    เขตกรุงกบิลพัสดุ์แคว้นสักกะ    ครั้งนั้นแล    เจ้าลลศากยะพระนามว่ามหานามะ (๑ )   เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ    ถวายอภิวาทแล้วนั่ง    ณ    ที่สมควร    ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ที่ที่งบบช
           “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลแล้ว (๒)   รู้ชัดศาสนาแล้ว (๓ )   ส่วนมากย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมชนิดไหน    พระพุทธเจ้าข้า”
           พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    “มหานามะ    อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลแล้ว    รู้ชัดศาสนาแล้ว    ส่วนมากย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้    คือ
๑.    อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ระลึกถึงตถาคตว่า    ‘แม้เพราะเหตุนี้    พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์    ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ  เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ    เสด็จไปดี    รู้แจ้งโลก    เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม    เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย    เป็นพระพุทธเจ้า    เป็นพระผู้มีพระภาค’    
 
มหานามะ  สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึงตถาคต    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม  สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภตถาคตดำเนินไปตรงทีเดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม    ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ    เมื่อใจมีปีติ  กายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข    เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญพุทธานุสสติอยู่
  ๒.    อริยสาวกระลึกถึงธรรมว่า    ‘พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว    ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง    ไม่ประกอบด้วยกาล (๑) ควรเรียกให้มาดู    ควรน้อมเข้ามาในตน    อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน’ มหานามะ    สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึงธรรม    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม   ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม  ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม  สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภธรรมดำเนินไปตรงทีเดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม             ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ    เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข    เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ   ล ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญธัมมานุสสติอยู่
 
๑ ไม่ประกอบด้วยกาล  หมายถึงให้ผลไม่จำกัดกาล  คือไม่ขึ้นกับกาลเวลา  ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติทุกเวลา  ทุกโอกาสบรรลุเมื่อใดก็ได้รับผลเมื่อนั้น  (องฺ.ติก.อ.  ๒/๕๔/๑๕๘)
 
๓.    อริยสาวกระลึกถึงพระสงฆ์ว่า    ‘พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดี    ปฏิบัติตรง    ปฏิบัติถูกทาง    ปฏิบัติสมควร    ได้แก่อริยบุคคล    ๔    คู่คือ    ๘    บุคคล (๑)    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคนี้  เป็นผู้ควรแก่ของที่เขานำมาถวาย    ควรแก่ของต้อนรับ    ควรแก่ทักษิณา  ควรแก่การทำอัญชลี    เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก’    มหานามะ สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึงพระสงฆ์    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม  สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภพระสงฆ์ดำเนินไปตรงทีเดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม    ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ    เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข    เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญสังฆานุสสติอยู่
๔.    อริยสาวกระลึกถึงศีลของตน    ที่ไม่ขาด    ไม่ทะลุ    ไม่ด่าง    ไม่พร้อย  เป็นไท    ท่านผู้รู้สรรเสริญ    ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิครอบงำ    เป็นไปเพื่อสมาธิ    สมัยใด    งงอริยสาวกระลึกถึงศีล    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้น  ย่อมไม่ถูกราคะฟฃๆชกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม  สมัยนั้นจิตของอริยสาวกนั้น  ย่อมปรารภศีลดำเนินไปตรงทีเดียว                     มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม    ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ  เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข  เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น  มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญสีลานุสสติอยู่
 
๕.    อริยสาวกระลึกถึงจาคะ(การสละ)    ของตนว่า    ‘เป็นลาภของเราหนอเราได้ดีแล้วหนอ    เมื่อหมู่สัตว์ถูกความตระหนี่อันเป็นมลทินกลุ้มรุม  เรามีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน    มีจาคะอันสละแล้ว  มีฝ่ามือชุ่ม    ยินดีในการสละ    ควรแก่การขอ    ยินดีในการแจกทานอยู่ครองเรือน’    มหานามะ    สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึงจาคะ    สมัยนั้นจิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม   ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม    สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภจาคะดำเนินไปตรงที่เดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว  ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม  ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์    ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข    เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญจาคานุสสติอยู่
๖.    อริยสาวกเจริญเทวตานุสสติว่า    ‘มีเทวดาชั้นจาตุมหาราช    เทวดาชั้นดาวดึงส์    เทวดาชั้นยามา    เทวดาชั้นดุสิต    เทวดาชั้นนิมมานรดี   เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี    เทวดาชั้นพรหมกาย    เทวดาชั้นสูงขึ้นไปกว่านั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด    จุติจากโลกนี้ แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น    แม้เราเองก็มีศรัทธาเช่นนั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีลเช่นใด    จุติจากโลกนี้แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น    แม้เราเองก็มีศีลเช่นนั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใด    จุติจากโลกนี้แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น    แม้เราเองก็มีสุตะ เช่นนั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยจาคะเช่นใด    จุติจากโลกนี้แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น    แม้เราเองก็มีจาคะเช่นนั้น    เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเช่นใด    จุติจากโลกนี้แล้วไปเกิดในเทวโลกนั้น แม้เราเองก็มีปัญญาเช่นนั้น’    มหานามะ    สมัยใด    อริยสาวกระลึกถึง ศรัทธา   ศีล สุตะ    จาคะ    และปัญญาของตน  และของเทวดาเหล่านั้น สมัยนั้น    จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม    ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม  ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม    สมัยนั้นจิตของอริยสาวกนั้นย่อมปรารภเทวดา  ทั้งหลายดำเนินไปตรงทีเดียว    มหานามะ    ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงแล้ว    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงอรรถ    ย่อมได้ความปลาบปลื้มอิงธรรม    ย่อมได้ปราโมทย์ที่ประกอบด้วยธรรม    เมื่อมีปราโมทย์ย่อมเกิดปีติ    เมื่อใจมีปีติกายย่อมสงบ    เธอมีกายสงบย่อมได้รับสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น    มหานามะ    ตถาคตกล่าวว่า    อริยสาวกนี้  เป็นผู้ถึงความสงบอยู่ในหมู่สัตว์ผู้ถึงความไม่สงบ    เป็นผู้ไม่มีพยาบาทอยู่ในหมู่สัตว์ผู้มีพยาบาท    เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม    เจริญเทวตานุสสติอยู่
           มหานามะ    อริยสาวกผู้ได้บรรลุผลแล้ว    รู้ชัดศาสนาแล้ว    ส่วนมากย่อมอยู่ด้วย
วิหารธรรมนี้
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๒๒  ข้อ

วันนี้..วันพระแรม8ค่ำเดือน12ปีมะโรง

วันนี้..วันพระแรม8ค่ำเดือน12ปีมะโรง
…………………………………………….
ความไม่เที่ยง..เกิดขึ้นจริงทุกสถานการณ์

..อย่าประมาทว่าพรุ่งนี้จะมีแก่เรา..

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

น้อมกราบระลึกถึง

น้อมกราบระลึกถึง
ความเลื่อมใสศรัทธาประพฤติปฏิบัติด้วยกายวาจาใจ

ขออาราธนาอำนาจแห่งศีล อำนาจแห่งทาน
อำนาจแห่งการเจริญภาวนา
น้อมถวายผลแห่งกุศลความดีทั้งหลาย
เป็นเครื่องมุทิตาสักการะ
แด่พระครูภาวนาสีลวิสุทธิ์
(พระอาจารย์จรัน อนังคโน)
เนื่องในโอกาสวันอายุวัฒนมงคล
วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
………………….

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระขึ้น8ค่ำเดือน12ปีมะโรง

วันนี้..วันพระขึ้น8ค่ำเดือน12ปีมะโรง
………………………………………..
..อิทัปปัจจยตา..
เมื่อสิ่งนี้มี..สิ่งนี้ย่อมมี
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้..สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี..สิ่งนี้ย่อมไม่มี
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้..สิ่งนี้จึงดับไป

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา

“ภิกษุ ทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา 
เธอทั้งหลายจงทำหน้าที่ให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด๔” นี้เป็นพระปัจฉิมวาจา ของพระตถาคต
……………
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระแรม15ค่ำเดือน10ปีมะโรง

วันนี้..วันพระแรม15ค่ำเดือน10ปีมะโรง
…………………………………………..
กุศลธรรมที่คุณยายบำเพ็ญไว้ดีแล้วตลอดเวลา
ขอให้คุณครูและนักเรียนโรงเรียนเขาพระยาสังฆารามจ.อุทัยธานี ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจงมีส่วนในบุญกุศลทั้งหลาย

ขอบุญกุศลจงเกื้อกูลให้หนูทุกคนอยู่ในห้วงแห่งบุญของคุณยายมีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์มีสุขขอให้สุขยิ่งๆขึ้น

สาธุ สาธุ สาธุสู่สุคติ
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระขึ้น 15 ค่ำเดือน10ปีมะโรง

วันนี้..วันพระขึ้น 15 ค่ำเดือน10ปีมะโรง
…………………………………….
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสมบัติของทุกชีวิต
เห็นตามความเป็นจริงว่าไม่เที่ยง..เป็นทุกข์..เป็นอนัตตา

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

เนื้อแท้ที่ไม่อันตรธาน..

เนื้อแท้ที่ไม่อันตรธาน

ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้
สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่เป็นคำร้อยกรอง ประเภทกาพย์กลอนมีอักษรสละสลวย 
มีพยัญชนะอันวิจิตรเป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก

เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่
เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง 
และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.

ส่วนสุตตันตะเหล่าใด
ที่เป็นคำของตถาคตเป็นข้อความลึก 
มีความหมายซึ้งเป็นชั้นโลกุตตระ
ว่าเฉพาะเรื่อง สุญญตา
เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่
เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง
และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. 
จึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า

“ ข้อนี้เป็นอย่างไร ? มีความหมายกี่นัย ?” ดังนี้.
ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้ ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็จะทำให้ปรากฏได้ ความสงสัย ในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย เธอก็บรรเทาลงได้.

ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุบริษัทเหล่านี้ เราเรียกว่าบริษัทที่มีการลุล่วงไปได้ด้วยการสอบถาม แก่กัน และ กัน เอาเอง หาใช่ด้วยการชี้แจงโดยกระจ่าง ของบุคคลภายนอกเหล่าอื่นไม่ (ปฏิปุจฺฉาวินีตา ปริสา โน อุกฺกาจิตวินีตา)จัดเป็นบริษัทที่เลิศ แล.
……………….
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

อย่าปล่อยเวลาให้ลอยนวล พุทธวจน ตามรอยธรรม

ภิกษุทั้งหลาย ! สมมติว่ามหาปฐพีอันใหญ่หลวงนี้ มีน้ำท่วมถึงเป็นอันเดียวกันทั้งหมด; บุรุษคนหนึ่งทิ้งแอก (ไม้ไผ่ ?) ซึ่งมีรูเจาะได้เพียงรูเดียว ลงไปในน้ำนั้น;
ลมตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันตก, ลมตะวันตกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศเหนือพัดให้ลอยไปทางทิศใต้, ลมทิศใต้พัดให้ลอยไปทางทิศเหนือ อยู่ดังนี้. ในน้ำนั้นมีเต่าตัวหนึ่งตาบอด ล่วงไปร้อยๆ ปี มันจะผุดขึ้นมาครั้งหนึ่งๆ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : จะเป็นไปได้ไหมที่เต่าตาบอด ร้อยปีจึงจะผุดขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง จะพึงยื่นคอ เข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น ?

“ข้อนี้ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า ! ที่เต่าตาบอดนั้น ร้อยปีผุดขึ้นเพียงครั้งเดียว จะพึงยื่นคอเข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น”.

ภิกษุทั้งหลาย ! ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกันที่ใครๆ จะพึงได้ความเป็นมนุษย์; ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ จะเกิดขึ้นในโลก; ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว จะรุ่งเรืองไปทั่วโลก.

ภิกษุทั้งหลาย ! แต่ว่าบัดนี้ความเป็นมนุษย์ก็ได้แล้ว; ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว; และธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงกระทำโยคกรรมเพื่อให้รู้ว่า “นี้ ทุกข์, นี้ เหตุให้เกิดทุกข์, นี้ ความดับแห่งทุกข์, นี้ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์” ดังนี้เถิด.

-บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔.
…………………
บัดนี้ความเป็นมนุษย์ก็ได้แล้ว
ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็บังเกิดขึ้นในโลก แล้ว
………………..
อย่าปล่อยเวลาให้ลอยนวล

พุทธวจน ตามรอยธรรม

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ยังทุกขสูตร

วันนี้..วันพระขึ้น8ค่ำเดือน10ปีมะโรง
ยังทุกขสูตร
ว่าด้วยสิ่งที่เป็นทุกข์
            [๑๖] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี
            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นเธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า ‘นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา’

เวทนาเป็นทุกข์  สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นเธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า ‘นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น                นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา’

สัญญาเป็นทุกข์  สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นเธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า ‘นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น                  นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา’

สังขารเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นเธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า ‘นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น                    นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา’

    วิญญาณเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นเธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า ‘นั่นไม่ใช่ของเรา  เราไม่เป็นนั่น                    นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา’

            ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขาร  ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ว่า ‘หลุดพ้นแล้ว’ รู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้วอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป”
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๑๗  ข้อ ๑๖  หน้า ๒๙
 ………….
ผู้ใดเห็นทุกข์ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

นันทิกขยสูตร

นันทิกขยสูตร
ว่าด้วยการสิ้นความเพลิดเพลิน
            [๕๑] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี
            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นรูปที่ไม่เที่ยงนั่นแลว่า             ‘ไม่เที่ยง’ ความเห็นนั้นของเธอเป็นสัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) เมื่อเธอเห็นโดยชอบ  ก็ย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลินจึงสิ้นความกำหนัด เพราะสิ้นความ  กำหนัดจึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นทั้งความเพลิดเพลินและความกำหนัด   จิตจึงหลุดพ้น         เราเรียกว่า ‘หลุดพ้นดีแล้ว’

            ภิกษุเห็นเวทนาที่ไม่เที่ยงนั่นแลว่า ‘ไม่เที่ยง’ ความเห็นนั้นของเธอเป็น  สัมมาทิฏฐิ เมื่อเธอเห็นโดยชอบ ก็ย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลินจึงสิ้นความกำหนัด เพราะสิ้นความกำหนัดจึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นทั้งความ  เพลิดเพลินและความกำหนัด จิตจึงหลุดพ้น เราเรียกว่า ‘หลุดพ้นดีแล้ว’

            ภิกษุเห็นสัญญาที่ไม่เที่ยงนั่นแลว่า ‘ไม่เที่ยง’ความเห็นนั้นของเธอเป็น  สัมมาทิฏฐิ เมื่อเธอเห็นโดยชอบ ก็ย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลินจึงสิ้นความกำหนัด เพราะสิ้นความกำหนัดจึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นทั้งความ  เพลิดเพลินและความกำหนัด จิตจึงหลุดพ้น เราเรียกว่า ‘หลุดพ้นดีแล้ว’

            ภิกษุเห็นสังขารที่ไม่เที่ยงนั่นแลว่า ‘ไม่เที่ยง’ ความเห็นนั้นของเธอเป็น  สัมมาทิฏฐิ เมื่อเธอเห็นโดยชอบ ก็ย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน  จึงสิ้นความกำหนัด เพราะสิ้นความกำหนัดจึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นทั้งความเพลิดเพลินและความกำหนัด จิตจึงหลุดพ้น เราเรียกว่า ‘หลุดพ้นดีแล้ว’

            ภิกษุเห็นวิญญาณที่ไม่เที่ยงนั่นแลว่า ‘ไม่เที่ยง’ ความเห็นของเธอนั้นเป็น  สัมมาทิฏฐิ เมื่อเธอเห็นโดยชอบ ก็ย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน  จึงสิ้นความกำหนัด เพราะสิ้นความกำหนัดจึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นทั้งความเพลิดเพลินและความกำหนัด จิตจึงหลุดพ้น เราเรียกว่า ‘หลุดพ้นดีแล้ว”

พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม  ๑๗ หน้า ๗๒

——————
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ