อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่49 —พระมหาชนก ตอนที่3—

อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่49

พระมหาชนกตอนที่3

มณีเมขลาพาพระมหาชนกไปถึงมิถิลานคร ก็วางลงบนแผ่นหิน ในสวนมะม่วงในพระราชอุทยาน บอกให้เหล่าเทพยดาในสวนช่วย ดูแลรักษาพระมหาชนกต่อไป ส่วนตนเองก็กลับขึ้นสู่ทิพยพิมาน

จะกล่าวถึงเรื่องราวในพระราชวัง ครั้นเมื่อพระโปลชนกเสด็จ สวรรคตแล้วได้ ๗ วัน แผ่นดินก็ยังว่างจากกษัตริย์ เพราะพระเจ้า โปลชนกไม่มีพระโอรส มีแต่พระธิดาองค์เดียว พระนามว่า “สีวลี เทวี”

พระธิดาสีวลีเทวีทรงเป็นหญิงฉลาดหลักแหลมนัก เกินกว่าชาย เกินกว่าหญิงจำนวนมาก เมื่อตอนที่พระเจ้าโปลชนกประชวรหนัก บรรทมอยู่พระแท่น อำมาตย์ทั้งหลายได้ทูลถามว่า

“ขอเดชะ! เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว เหล่าข้าพระบาท จะถวายราชสมบัติแก่ใคร พระพุทธเจ้า”
พระโปลชนกราชตรัสตอบว่า ”

พวกท่านจงมอบราชสมบัติให้แก่ผู้ที่สามารถทำให้พระธิดาสีวลี เทวีพอใจได้ หรือให้แก่ผู้ที่รู้จักหัวนอนแห่งบัลลังก์สี่เหลี่ยม หรือให้ แก่ผู้ที่สามารถยกธนูที่หนักขนาดคน ๑,๐๐๐ จึงยกขึ้นได้ หรือให้แก่ ผู้ที่สามารถชี้ขุมทรัพย์ใหม่ ๑๓ แห่งได้”
อำมาตย์กราบทูลถามว่า

“ขอเดขะ! ขอพระองค์โปรดตรัสบอกปัญหาขุมทรัพย์ ๑๓ แห่ง แก่พวกข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด” พระโปลชนกตรัสบอว่า ขุม ทรัพย์ใหญ่ ๑๓ แห่ง นั้นก็คือ

๑. ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์
๒. ขุมทรัพย์ที่ดวงอาทิตย์ตก ๓.
๓.ขุมทรัพย์ภายใน
๔. ขุมทรัพย์ภายนอก
๕. ขุมทรัพย์ไม่ใช่ทั้งภายในและภายนอก
๖. ขุมทรัพย์ขาขึ้น
๗. ขุมทรัพย์ขาลง
๘. ขุมทรัพย์ที่ไม้รังทั้งสี่
๙. ขุมทรัพย์ที่หนึ่งโยชน์โดยรอบ
๑๐. ขุมทรัพย์ที่ปลายงาทั้งสอง
๑๑. ขุมทรัพย์ที่ปลายหาง
๑๒. ขุมทรัพย์ที่น้ำ
๑๓. ขุมทรัพย์ที่ปลายไม้
จากนั้นไม่นาน พระเจ้าโปลชนกก็เสด็จสวรรคต พระบรมศพ ของพระองค์ได้รับการจัดการถวายพระเพลิงอย่างสมเกียรติทุกประ การ

ภายหลังการถวายพระเพลิงได้ ๗ วัน เหล่าอำมาตย์ได้ปรึกษา หารือกันว่า ใครจะสามารถทำให้พระธิดาโปรดปรานได้ ในที่สุดก็ ลงความเห็นว่า เสนาบดีผู้หนึ่งที่เป็นคนสนิทของพระเจ้าโปลชนก จึงส่งข่าวให้พระเสนาบดีนั้นทราบ เสนาบดีทราบข่าวก็รับอาสาว่า จะไปเจรจาให้พระธิดาทรงโปรดปรานให้จงได้”

เมื่อเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว เสนาบดีก็ไปเข้าเฝ้าพระธิดา เมื่อ ไปถึงประตูพระราชวัง ก็สั่งสาวใช้

เข้าไปทูลพระธิดาให้ทรงทราบ พระธิดามีพระประสงค์จะทดลองว่า เสนาบดีผู้นี้จะคู่ควรแก่ราชสมบัติหรือไม่ จึงรับสั่งให้สาวใช้ไป บอกเสนาบดีให้เข้ามาโดยเร็ว

เสนาบดีทราบแล้วก็รีบไปตามรับสั่ง หมายให้พระธิดาทรงพอพระทัย พอเสนาบดีไปถึงเชิงบันได พระธิดา ก็รับสั่งให้เขาเข้าไปในพระตำหนักโดยเร็ว พอเสนาบดีเข้าไปแล้ว พระธิดาก็รับสั่งให้ออกมาโดยเร็ว

เสนาบดีก็ออกมาโดยเร็วเหมือน กัน พระธิดาทรงเห็นแล้วก็ทรงรู้สึกว่าเสนาบดีผู้นี้ไม่คู่ควรแก่ราช สมบัติ เพราะไม่มีสง่าราศี ไม่มีสติปัญญา

พระธิดาทดลองรับสั่งให้เข้ามานวดพระบาท (เท้า) เสนาบดีก็ รีบเข้าไปนั่งคุกเข่าข้าง
พระแท่น เตรียมจะนวดพระบาทถวาย ทันใดนั้น

พระธิดาก็ยก พระบาทขึ้นถีบหน้าอกเสนาบดีจนล้มหงายลงไปแล้วรับสั่งกับ ข้าหลวงว่า “พวกเจ้าจงลากคอคนโง่นี่ออกไปเสีย เขาเป็นคนไม่มีสติ ปัญญาอะไรเลย จงนำไปโบยเสียให้เข็ดคนที่ไม่รู้จักเจียมตัว”

ข้าหลวงตรงเข้าไปจับตัวเสนาบดี ลากออกไปจากพระราชวังให้ ทุบตีเตะต่อยกันเสียจนบอบช้ำไปทั้งตัว เสนาบดีเดินโซเซกลับบ้าน ด้วยความอับอายขายหน้าอย่างที่สุด

เมื่อถูกถามว่าเป็นไงท่าน สำเร็จไหมก็จะตอบเขาว่า “สำเร็จอะไรกันล่ะ พระธิดาสีวลีเหมือนไม่ ใช่มนุษย์ พระนางโหดร้ายราวกับนางยักษิณี เราถูกเท้า เข่า ศอก หมัด ของพระนางเล่นงานจนบอบช้ำถึงขนาดนี้”

จากนั้นได้มีการคัดเลือกบุคคลอื่นๆ เข้าไปอีก เพื่อทำให้พระ ธิดาโปรดปราน เช่น เป็นเศรษฐี

เจ้าพนักงานเชิญเครื่องสูง เจ้าพนักงานเชิญพระแสงแต่ก็ถูกพระ ธิดาทดลองสติปัญญาทำนองเดียวกับเสนาบดีแล้วก็ถูกไล่ออกจาก วังจนหมดทุกคน

พวกอำมาตย์เห็นว่าคงจะไม่มีใครทำให้พระธิดาโปรดปรานได้ แล้ว จึงปรึกษากันหาผู้ที่สามารถยกธนูที่หนักเท่าคน ๑,๐๐๐ คน จึง จะยกขึ้น แต่ก็ไม่มีใครสามารถยกขึ้นได้สักคนเดียว

ต่อไปได้ทดลองให้คนทั้งหลายเข้าไปชี้หัวนอนแห่งบัลลังก์ ๔ เหลี่ยม ก็ไม่มีผู้ใดชี้ได้ จากนั้นจึงให้คนทั้งหลายชี้ขุมทรัพย์ ๑๓ แห่ง

นั้นว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดชี้ได้อีก เป็นอันว่ายังไม่มี ชายใดที่เก่งพอจะผ่านด่านการทดลองได้ มิถิลานครจึงยังว่าง กษัตริย์อยู่

เมื่อการทดลองอย่างใดๆ ก็ไม่สามารถหาชายที่คู่ควรแก่ราช สมบัติได้ เหล่าอำมาตย์จึงปรึกษา

ว่าจะทำอย่างไรดีบ้านเมืองจึงจะมีพระราชาปกครองเสียที หาก ปล่อยให้บ้านเมืองว่างจากกษัตริย์ไปนานๆ คงจะเกิดความหาย

นะแน่ ปุโรหิตผู้มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่พระราชา ซึ่งราชสำนักให้ค วามเคารพนับถือมาก ได้เสนอแนวความคิดว่า

“ท่านอำมาตย์ทั้ง หลาย ! ที่จะรับเรื่องนี้ยังมีทางออกอยู่อีก ยังไม่ถึงทางตันเสียทีเดียว ทางออกที่ยังพอมีอยู่ก็คือ เราควรจะเสี่ยงบุรุษยราชรถลองดู บาง ทีอาจจะได้ชายผู้คู่ควรแก่ราชสมบัติ”

เหล่าเสนามาตย์ต่างพากันเห็นด้วยกับวิธีนี้ จึงให้ตกแต่งพระ นครให้สวยงาม ตกแต่งราชรถด้วยดอกไม้สวยงามมีกลิ่นหอม

และประดับด้วยเครื่องประดับอันอลังการอื่นๆ อีกมากมาย ให้จัด หาม้าอัศดรสีขาวไว้ ๔ ตัว จัดพระที่นั่งอย่างดีไว้บนราชรถ

พร้อมด้วย เครื่องราชกกุธภัณฑ์ (สิ่งที่เป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นพระ ราชา) ทั้ง ๕ ประการ ได้แก่ ๑) พระบาทพิชัยมงกุฎ ๒) พระแสง ขรรค์ชัยศรี ๓) ธารพระกร ๔) วาลวีชนี (พัดใบตาลกับแส้จามรี) ๕)

ฉลองพระบาท เตรียมไว้บนรถเสร็จสรรพ แล้วนำม้ามงคลดังกล่าว มา เทียมข้างละ ๒ ตัว ให้เหล่าจตุรงคเสนาแวดล้อม บุษยราชรถ มี นักดนตรีประโคมดนตรีอยู่เบื้องหลัง

ตามปกติถ้าบุษยราชรถมีพระ ราชาประทับอยู่ การประโคมดนตรีต้องทำข้างหน้ารถ แต่ถ้าไม่มีพระ ราชาประทับอยู่ต้องประโคมดนตรีข้างหลัง แล้วให้เอาพระเต้าทอง คำรินน้ำประพรมสายหนังเชือกแอกปฏัก พร้อมกับอธิษฐานว่า

“ผู้ ใดมีบุญที่จะได้ครองราชสมบัติ ขอให้ราชรถจงไปหยุดอยู่ที่ผู้นั้น เถิด”

แล้วก็ปล่อยราชรถให้แล่นออกไป
บุษยราชรถทำประทักษิณ
(แล่นเวียนขวาทำความเคารพ)

พระ ราชวังแล้วก็ออกสู่ถนนใหญ่ แล่นไปอย่างรวดเร็ว มหาชนจำนวน มาก มีเสนาบดีเป็นต้น ต่างหวังว่าราชราถจะมาเกยตน แต่แล้วราช

รถก็แล่นเลยไปหมด ไม่สนใจใครผู้ใดเลย ราชรถทำประทักษิณพระ นครแล้วก็แล่นออกจากทางประตูด้านตะวันออกบ่ายหน้าตรงไปยัง

พระราชอุทยานทันที เมื่อคนทั้งหลายเห็นราชรถแล่นไปอย่างรวดเร็ว ก็พากันร้องบอกเจ้าพนักงานให้เรียนกรถกลับเสียเถิด แต่ปุโรหิตได้ ห้ามไว้ว่า ถึงรถจะแล่นไปไกลถึงร้อยโยชน์ก็ไม่ต้องให้กลับ

ราชรถได้แล่นเข้าไปสู่พระราชอุทยาน ทำประทักษิณแผ่นดินที่ พระมหาชนกทรงบรรทมอยู่แล้วหยุดอยู่เตรียมรับเสด็จขึ้น ปุโรหิต

ตามไปดูที่ราชรถหยุดอยู่เห็นชายคนหนึ่งนอนอยู่บนนั้น จึงเรียกให้ เหล่าอำมาตย์มาดู แล้วกล่าวว่า

“นั่น พวกท่านจงดูชายคนที่นอนอยู่ บนแผ่นหิน เราไม่รู้ว่าเขาจะคู่ควรแก่เศวตฉัตรหรือไม่ แต่เราจะ ทดลองดู โดยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายดนตรีประโคมดนตรีขึ้นให้ดังกระหึ่ม ถ้าชายคนนี้เป็นคนมีสติปัญญา

เขาจะสงบนิ่งเฉย ไม่มีอาการสะทก สะท้านเห็น ไม่ลุกขึ้น ไม่มองดู แต่ถ้าเป็นคนโง่เขลากาลกิณี ก็จะ หวาดกลัวตกอกตกใจรีบลุกขึ้น

มีอาการสะทกสะท้าน มองดูด้วย อาการหน้าตาตื่นแล้วรีบหนีไป
พวกอำมาตย์ฟังแล้วก็เห็นตามด้วย จึงสั่งให้นักดนตรีประโค มดนตรีขึ้นพร้อมๆ กัน

จนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ พระมหา ชนกทรงตื่นบรรทมเพราะเสียงดนตรีนั้น เปิดผ้าคลุมพระเศียรออก ทอดพระเนตรเห็นบุษยราชรถพร้อมด้วยประชาชนจำนวนมาก

ห้อมล้อมมองดู ก็ทรงดำริว่าเศวตฉัตรมาถึงเราแล้ว เห็นท่าเราจะได้ ครองราชย์ในเมืองนี้เป็นแน่ แล้วเอาผ้าคลุมพระเศียรอย่างเดิม พลิก พระองค์บรรทมข้างซ้ายต่อไปอีก ไม่แสดงอาการตื่นเต้น รู้สึกแต่ เพียงเฉยๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรเลย

ปุโรหิตรู้สึกว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ จึงตรงเข้าไปเปิดผ้า คลุมพระบาท ตรวจดูลักษณะแล้วกล่าวให้รู้กันว่า “ คนที่มีลักษณะ เช่นนี้ อย่าว่าแต่จะครองทวีปหนึ่งเลย ต่อให้สี่ทวีปเขาก็สามารถค รองราชย์สมบัติได้ ” กล่าวฉะนี้แล้วก็ให้ประโคมดนตรีขึ้นอีก

มหาชนกทรงเปิดผ้าคลุมพระพักตร์ ทรงมองดูอยู่ครู่หนึ่งก็พลิกพระ วรกายบรรทมต่อไปอีก

ปุโรหิตใคร่ครวญดูแล้วก็บอกให้ผู้ที่ห้อมล้อมดูถอยออกไป หน่อย แล้วก็นั่งลงกราบถวายบังคมว่า

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์ได้โปรดเสด็จลุกขึ้นเถิด บัดนี้ ราชสมบัติได้มาถึงพระองค์แล้วพระเจ้าข้า”

พระมหาชนกตรัสถามปุโรหิตว่า

“พระราชาของพวกท่านไปไหน เสียเล่า?”
ปุโรหิตกราบทูลว่า
“เสด็จสวรรคตแล้วพระเจ้าข้า”

“พระราชโอรสหรือพระราชภาดาของพระองค์ไม่มีหรือ?”

พระมหาชนกตรัสถามต่อ

“ไม่มีพระเจ้าข้า มีแต่พระราชธิดาองค์เดียวเท่านั้นพระเจ้าข้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เราจักครองราชสมบัติ”
พระมหาชนกตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงลุกขึ้นประทับนั่ง

ประชาชนทั้งหลายที่นำโดยอำมาตย์และปุโรหิต จึงต่างเข้า ทำการถวายราชาภิเษกแก่พระมหาชนก ณ ที่นั้นนั่นเอง มหา ชนทูลขอพระนามของพระองค์

พระมหาชนกตรัสบอกว่า

“เราชื่อมหาชนก เมื่อพวกท่านได้ทำ การอภิเษกให้แก่เราแล้ว เราก็จะมีชื่อว่า พระมหาชนกราช”

จากนั้นจึงทูลเชิญขึ้นไปประทับบนรถพระที่นั่งไปสู่พระราชวัง แล้วทูลเชิญขึ้นประทับนั่งข้างในปราสาท

ฝ่ายพระธิดาสีวลีครั้นทราบว่า ท่านปุโรหิตเหล่าอำมาตย์ ขุนนางข้าราชการ และประชาชน ได้พากันอภิเษกชายคนหนึ่งขึ้นเป็น พระราชา ในพระนามว่า

“พระมหาชนกราช”

บัดนี้พระราชาพระองค์ นั้นได้เสด็จมาถึงพระราชวัง เสด็จเข้าถึงฝ่ายในแล้ว จึงทรงดำริจะ ทดลองพระสติปัญญาและความสามารถในการตัดสินพระทัยของ พระราชาองค์ใหม่ จึงรับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งไปทูล

เชิญพระ มหาชนกราชเสด็จไปพบพระนาง
อำมาตย์ไปกราบทูลตามพระเสาวนีย์
ฝ่ายพระมหาชนกทรงสดับคำกราบทูลแล้วก็แสร้งทำเป็น เหมือนไม่ได้ยินเสีย ได้ตรัสชมปราสาทราชมณเฑียรกะอำมาตย์ว่า

“ปราสาทมณเฑียรนี้ ช่างงดงามเหลือเกิน เรายิ่งมองก็ยิ่ง เพลิดเพลิน”

แม้อำมาตย์กราบทูลอีก ๒-๓ ครั้ง ถึงเรื่องพระธิดาให้รีบเสด็จ ไปพบ พระมหาชนกก็ไม่แสดงความสนพระทัยอะไร อำมาตย์เมื่อ เห็นว่าพระราชาไม่ทรงสนพระทัยสิ่งที่ตนกราบทูลเลยแม้แต่น้อย ทูลลาแล้วรีบไปเข้าเฝ้า พระธิดาทูลเรื่องราวให้พระนางทรงทราบ
พระธิดาทรงดำริว่า
“พระราชาพระองค์นี้จะต้องเป็นผู้มีอัธยาศัยนิสัยใจคอยิ่งใหญ่
หนักแน่นมั่นคงสมกับที่ได้เป็นพระราชา”

จากนั้นก็ได้สั่งอำมาตย์ไปกราบทูลอีก ๒-๓ ครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล พระราชายังคงเสด็จพระราชดำเนินไปตามปกติ ตามความพอพระ ราชหฤทัยของพระองค์

และแล้วพระองค์ก็เสด็จไปหาพระธิดา โดยที่พระธิดาไม่ทรงทราบล่วงหน้า จนกระทั่งเสด็จเข้าไปถึงข้างใน

ไปถึงที่ประทับของพระนางทันที พระราชธิดาสีวลีรู้สึกตกพระทัย รีบเสด็จลุกขึ้นตรงถวายให้เกี่ยวพระกร พระมหาชนกทรงรับเกี่ยว พระกรพระราชธิดา

เสด็จประทับนั่งบนราชบัลลังก็ภายใต้พระมหา เศวตฉัตร ตรัสเรียกเหล่าอำมาตย์มารับสั่งถามว่า

“ท่านอำมาตย์ทั้งหลาย ก่อนที่พระราของพวกท่านจะเสด็จ สวรรคต พระองค์ได้ตรัสสั่งอะไรไว้บ้าง?”

อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า
“ขอเดชะ พระราชาองค์ก่อนได้ตรัสสั่งไว้บ้าง พระเจ้าข้า”
มหาชนกจึงโปรดให้พวกอาตย์เล่าถวาย อำมาตย์ทั้งหลาย กราบทูลว่า

“พระราชาองค์ก่อนได้ตรัสไว้ว่าให้มอบราชสมบัติแก่ผู้ที่มีความ สามารถดังต่อไปนี้”
๑. ผู้ที่สามรถทำให้พระธิดาสีวลีทรงโปรดปรานได้
๒. ผู้ที่สามารถทราบหัวนอนของบัลลังก์ ๔ เหลี่ยมหรือ
๓. ผู้ที่สามารถยกธนูที่มีน้ำหนัก ๑,๐๐๐ แรง คนขึ้นได้สำเร็จ หรือ
๔. ผู้ที่สามารถนำขุมทรัพย์ ๑๓ แหล่ง ออกมาได้ พระราชาองค์ก่อนได้รับสั่งไว้ดังนี้ พระเจ้าข้า พระมหาชนกตรัสว่า
“ ในข้อ ๑ เราได้ทำให้พระราชธิดาโปรดปรานแล้ว พวกท่าน เห็นแล้วมิใช่หรือที่ พระนางถวายพระกรให้เราเกี่ยว ”

พวกอำมาตย์กราบทูลว่า “ เห็นแล้วพระเจ้าข้า ”
พระมหาชนกตรัสว่า

“ในข้อ ๒ เกี่ยวกับเรื่องหัวนอนของบัลลังก์ ๔ เหลี่ยมนั้น เรา ขอคิดใคร่ครวญสักครู่หนึ่ง” แล้วก็ทรงถอดเข็มทองคำบนพระเศียร ประทานที่พระหัตถ์พระธิดาสีวลี พร้อมกับรับสั่งว่า

แม่ชี ทศพร วชิระบำเพ็ญ