เรื่องนางจูฬสุภัททาตอนที่๒

เรื่องนางจูฬสุภัททาตอนที่๒

ภรรยาเศรษฐีจึงพูดว่า

“ถ้าเช่นนั้นเธอก็จงเชิญสมณะของเธอมาให้แม่ดูเถอะ เจ้าจงจัดแจงการต้อนรับตามที่เจ้าพอใจ”

   นางจูฬสุภัททาตอบว่า “ดีละ” ก็ไปจัด

เตรียมมหาทานเพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้วยืนอยู่บนพื้นปราสาทชั้นบนผินหน้าไปทางพระเชตวันมหาวิหาร กราบไหว้โดยเคารพด้วยเบญจางคประดิษฐ์

ระลึกถึงพระพุทธคุณทั้งหลายของพระพุทธองค์ ทำการบูชาด้วยของหอม เครื่องอบ ดอกไม้และธูปเทียนกล่าวอัญเชิญนิมนต์ว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นางจุฬสุภัททาขอนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อฉันภัตตาหารเช้าในวันพรุ่งนี้,

ด้วยสัญญาณของข้าพระองค์นี้ ขอพระพุทธองค์ทราบว่า
วันพรุ่งนี้เช้าข้าพระองค์นิมนต์พระพุทธองค์ไว้แล้วพระเจ้าข้า”

เมื่อกล่าวดังนี้แล้วนางก็จึงซัดดอกมะลิ ๘ กำมือไปในอากาศ ดอกมะลิทั้งหลายก็ล่องลอยไปเป็นเพดานอันสำเร็จด้วยดอกไม้อยู่เบื้องบนพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท ๔  ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

         คำนิมนต์ของนางจูฬสุภัททาเป็นเพดานดอกไม้              
   
ในขณะนั้น แม้อนาถบิณฑิกะเศรษฐีเมื่อได้สดับธรรมกถาเสร็จแล้ว จึงนิมนต์พระพุทธเจ้าเพื่อเสวยภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

“คฤหบดี ตถาคตรับนิมนต์เพื่อฉันแล้วในวันพรุ่งนี้”  

เมื่ออนาถบิณฑิกะเศรษฐีกราบทูลว่า

” ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนอื่นมาก่อนกว่าข้าพระองค์ไม่มี พระองค์ทรงรับนิมนต์ของใครไว้หนอพระเจ้าข้า?”  

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

“ดูกรคฤหบดี นางจูฬสุภัททานิมนต์ไว้แล้ว” เมื่อท่านเศรษฐีกล่าวว่า

“นางจูฬสุภัททาอยู่ไกลจากที่นี้ถึง ๑๒๐ โยชน์นางมานิมนต์ตอนไหนหรือพระเจ้าข้า? “

  พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

“ใช่ คฤหบดี ท่านจงดูเพดานดอกไม้ที่อยู่ข้างบนเพดานนั้นสินี้แหละคือคำนิมนต์ของนางจูฬสภัททา”

  ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีก็มองขึ้นไปดูข้างบนเพดานก็ได้เห็นเพดานดอกไม้จริงๆ  ก็นึกอัศจรรย์ใจในพุทธานุภาพยิ่งนัก 

  ฝ่ายนางจูฬสุภัททาก็ได้ทำการจัดเตรียมภัตตาหารไว้ถวายพระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป  การจัดเตรียมภัตตาหารถวายพระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป

 ใช้เวลาจัดเตรียมเพียงวันเดียวบุคคลธรรมดาแม้มีสี่เศียรแปดกรก็ทำไม่ได้  แต่นางจูฬสุภัททาถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

เพราะนางเคยช่วยพ่อคืออนาถบิณฑิกะเศรษฐีทำบุญเลี้ยงพระเช่นนี้มาแล้วตั้งหลายครั้งที่กรุงสาวัตถี 

   อุคคะเศรษฐีและภรรยาพร้อมด้วยข้าทาสบริวารตลอดทั้งประชาชนเป็นจำนวนมากต่างก็คิดไปต่างๆนานาว่าสมณะของนางจูฬสุภัททาจะมาจริงหรือเปล่า

จะมาได้อย่างไร  ระยะทางจากเมืองสาวัตถีสู่เมืองอุคคะนครเป็นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์  มันช่างเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ

    พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชาวเมืองอุคคะนคร

  พอวันรุ่งขึ้นท้าวสักกะเทวราช

ตรัสสั่งให้วิษนุกรรมเทพบุตร ไปเนรมิตเรือนแก้ว ๕๐๐ หลัง  แล้วไปส่งเสด็จพระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์ ๕๐๐ รูปที่เมืองอุคคะนครเพื่อฉันภัตตาหารเช้า  

ชาวเมืองอุคคะนครและเศรษฐีพร้อมด้วยภรรยาได้รอรับเสด็จอย่างใจจดใจจ่อว่าพระองค์จะเสด็จมาทางถนนสายไหน ไม่นานก็มีเสียงอื้ออึงขึ้น

ชวนให้มองดูท้องฟ้าทางด้านทิศเหนือว่าพวกเราจงมองดูซิมันคืออะไรมันเป็นเรือนแก้วที่สวยงาม ๕๐๐ หลังล่องลอยมุ่งตรงมาสู่เมืองอุคคะนครของเรา

เมื่อนางจูฬสุภัททามองขึ้นไปบนอากาศนางก็รู้ได้ทันทีว่านี้คือการเสด็จมาของพระพุทธเจ้าของเรา  

นางก็ได้บอกอุคคะเศรษฐีและภรรยาว่านั้นคือการเสด็จมาของพระพุทธเจ้าที่เป็นสมณะของดิฉัน  

เศรษฐีภรรยาและประชาชนชาวอุคคะนครเบิ่งตามองดูอย่างตกตะลึงและมหัศจรรย์ใจยิ่งนัก 

คิดว่าพระพุทธเจ้าที่เป็นสมณะของนางจูฬสุภัททาไม่ใช่บุคคลธรรมดาพระองค์จะต้องเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอย่างแน่นอน

เมื่อเรือนแก้ว ๕๐๐ หลังล่องลอยใกล้เข้ามา

นางจูฬสุภัททาและอุคคะเศรษฐีพร้อมทั้งภรรยาญาติพี่น้องตลอดทั้งประชาชนทั้งหลายได้ไปยืนคอยต้อนรับอย่างดีอกดีใจเป็นยิ่งนัก

ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากเรือนแก้วนั้นท่านเศรษฐีและภรรยาเพ่งมองดูพระพุทธองค์อย่างตะลึงคิดในใจว่า

“ตั้งแต่เราเกิดมามีอายุปูนนี้แล้วยังไม่เคยเห็นใครไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายจะมีรูปร่างสวยงามเหมือนสมณะองค์นี้”

ในส่วนลึกของจิตใจก็เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธองค์อย่างสุดซึ้งขึ้นมาทันที

 อุคคะเศรษฐีภรรยาและนางจูฬสุภัททาได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ ๕๐๐ รูปให้เข้าสู่ปราสาทที่จัดเตรียมไว้ต้อนรับอย่างอลังการ  

นางจูฬสุภัททานิมนต์พระพุทธองค์และพระสงฆ์ไว้ ๗ วันเพื่อจะได้ทำบุญมหาทานถวายพระพุทธองค์ชาวเมืองอุคคะนครทั้ง
หลายก็พากันหลั่งไหลมาทำบุญร่วมกับเศรษฐีอย่างเนืองแน่นมากเป็นประวัติการณ์  

ในวันที่ ๗ พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดท่านเศรษฐีและชาวอุคคะนครทำให้เศรษฐีและภรรยาพร้อมทั้งชาวเมืองทั้งหลายได้บรรลุเป็นพระโสดาบันมากถึง๘๔,๐๐๐คน  

แม้นางจูฬสุภัททาคนสวยได้ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้แก่พระพุทธศาสนาทำให้เกิดมีพระอริยบคคลในขั้นโสดาบันมากขึ้นกว่าครั้งไหนๆ นางจึงเป็นยอดของมหาอุบาสิกาที่ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและแก่ประชาชนที่มากกว่าใครๆ
…………………………………………………

..ศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหวในคุณของพระรัตนตรัย..
..ศรัทธาของพระโสดาบัน..

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ