เทพธิดาข้าวตอก

เทพธิดาข้าวตอก
สมัยหนึ่ง พระมหากัสสปะเข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน

ในถ้ำชื่อปิปผลิคูหาที่ภูเขาคิชกูฏเมืองราชคฤห์

ออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ตรวจดูสถานที่ๆจะไปบิณฑบาตโปรดสัตว์ด้วยตาทิพย์

ท่านก็ได้เห็นกุลธิดาคนหนึ่งกำลังเด็ดรวงข้าวสาลีทำข้าวตอกอยู่ พิจารณาดูก็ว่านางมีศรัทธา สามารถจะทำการสงเคราะห์ด้วยอาหารแก่เราได้ และเมื่อเธอทำทานแล้วจักได้สมบัติเป็นอันมาก

พระเถระครองจีวร ถือบาตร เดินไปที่นาข้าวสาลี  แล้วหยุดยืนอยู่ นางกุลธิดาเห็นพระเถระแล้วมีจิตใจเลื่อมใส เกิดปีติแผ่ซ่านทั่วกายใจ กล่าวว่า

“นิมนต์หยุดก่อนเจ้าข้า”

นางถือข้าวตอกเข้าไปเกลี่ยลงในบาตรของท่าน ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วตั้งความปรารถนาว่า “ท่านเจ้าข้า ขอดิฉันพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมที่ท่านได้เห็นแล้ว”
พระเถระอนุโมทนาว่า
“ความปรารถนาของท่านจงสำเร็จ”

นางกุลธิดาไหว้แล้วมองตามไป ในใจก็นึกถึงทานที่ถวายแล้วเดินไป หนทางที่นางเดินไปนั้นมีรูงูมีพิษร้ายอยู่ พระเถระเดินผ่านมันก็ฉกแต่ติดจีวร

มันเลื้อยมาฉกนาง พิษแผ่ซ่าน ทำให้นางล้มลงสิ้นใจตาย

บังเกิดในวิมานทองใหญ่ประมาณ ๓๐ โยชน์ (๔๘๐ ก.ม.) ในสวรรค์ดาวดึงส์ มีร่างกายใหญ่ ๓ คาวุต ประดับด้วยเครื่องประดับหลายอย่าง เป็นเหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น
นางเทพธิดานั้นนุ่งผ้าทิพย์ประมาณ ๑๒ ศอกผืนหนึ่ง ห่มอีกผืนหนึ่ง แวดล้อมด้วยนางเทพอัปสร ๑,๐๐๐ นาง ยืนอยู่ที่ประตูวิมานที่ประดับด้วยขันทองคำ และมีข้าวตอกทองคำห้อยระย้าอยู่

นางตรวจดูทิพยสมบัติด้วยจักษุทิพย์แล้วรู้ว่า
“เราได้ทิพยสมบัติเห็นปานนี้ ด้วยผลของการถวายข้าวตอกแก่พระมหากัสสปเถระ”

คิดต่ออีกว่า
“เราได้สมบัติเห็นปานนี้เพราะกุศลกรรมนิดหน่อย บัดนี้เราไม่ควรประมาท เราจะไปทำวัตรปฏิบัติแก่พระผู้เป็นเจ้า สมบัติของเราจะได้ถาวร”

จึงถือเอาไม้กวาดและกระเช้าสำหรับเทขยะมูลฝอย ที่ทำด้วยทองคำ ไปกวาดบริเวณที่อยู่ของพระเถระ  จัดเตรียมน้ำใช้  น้ำฉันไว้แต่เช้าตรู่  พระเถระเห็นบริเวณสะอาด น้ำใช้น้ำดื่มเต็มอยู่ ก็คิดว่าเป็นการกระทำของภิกษุหรือสามเณร

แม้ในวันที่ ๒ นางก็ได้กระทำอย่างนั้น ฝ่ายพระมหากัสสปเถระก็คิดเช่นนั้น แต่ในวันที่ ๓ พระเถระได้ยินเสียงไม้กวาดพื้นของนาง และเห็นแสงสว่างจากสรีระส่องเข้าไปทางช่องประตู ท่านจึงเปิดประตูออกมาถามว่า

“นั่นใครกวาดพื้นอยู่”

เทพธิดาตอบว่า

“ท่านเจ้าข้า ดิฉันเอง ดิฉันเป็นอุปฐากของท่าน มีชื่อลาชเทพธิดา”

พระเถระปฏิเสธว่า ดูเหมือนอุปฐากที่เป็นหญิงชื่อเช่นนี้ของเราไม่มี

นางเทพธิดาจึงเล่าความให้ท่านทราบว่า

“ท่านเจ้าข้า ดิฉันเป็นผู้ดูแลนาข้าวสาลี ได้เคยถวายข้าวตอกด้วยความเลื่อมใสแด่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันถูกงูกัดตายแล้วเกิดในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ ดิฉันได้ทิพยสมบัติเพราะพระผู้เป็นเจ้า จึงมากระทำวัตรปฏิบัติเพื่อทำให้สมบัติมั่นคง เจ้าข้า”

พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในพระคันธกุฏี
วัดเชตวัตมหาวรวิหาร เมืองสาวัตถี
ทรงสดับเสียงของนางแล้ว ทรงแผ่พระรัศมีเป็นประดุจอยู่ตรงหน้านางเทพธิดา ตรัสว่า

“เทวธิดา การทำความสังวร (สำรวม) นั้น เป็นภาระของกัสสปะบุตรของเรา
แต่การกำหนดว่านี้เป็นประโยชน์ของเราผู้มุ่งกระทำบุญ ย่อมเป็นภาระของผู้มีความต้องการบุญเพราะการทำบุญเป็นเหตุให้เกิดสุขอย่างเดียว ทั้งในภพนี้และภพหน้า”
 
แล้วตรัสพระคาถาว่า …

"ถ้าบุคคลจะทำบุญไซร้ พึงทำบุญนั้นบ่อยๆ พึงทำความพอใจในบุญนั้น เพราะว่าการสั่งสมบุญทำให้เกิดสุข"

จบพระเทศนา นางเทวธิดายืนอยู่ห่าง ๔๕ โยชน์ (๗๒๐ ก.ม.) ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว

พระพุทธองค์ทรงตรัสก่อนจะดับขันถ์ปรินิพพานว่า

…มีความชราซ่อนอยู่ในความหนุ่มสาว…
…มีความเจ็บไข้ซ่อนอยู่ในความไม่มีโรค…
…มีความตายซ่อนอยู่ในความมีชีวิต..
…สัตว์ทั้งหลายพึงอย่าประมาท…
…………………………………………………..
…………………………………………………..
พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ
ในพระพุทธศาสนากว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง
ไกลแค่ไหนก็ได้ยิน เมื่อความมีจิตเลื่อมใสมีใจศรัทธา
—-ระยะทางใกล้ใจ—

…อย่าประมาทว่าวันคืนจะยาวนาน..
…อย่าประมาทว่าสังขารจะยืนยง…
…อย่าประมาทว่าลาภยศคงจะช่วยได้…
….อย่าประมาทว่าความตายจะไม่มีมา..
….อย่าประมาทว่าเรานั้นหนายังหนุ่มสาว..
….อย่าประมาทว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะยังอยู่..

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ