อานิสงส์การรักษาศีล ครึ่งวัน

เรื่อง อานิสงส์การรักษาศีล ครึ่งวัน

ในสมัยพุทธกาล  มีฤๅษี ๕๐๐ ตน บำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่าหิมพานต์เป็นเวลานาน  ต่อมาได้ชวนกันออกจากป่า เพื่อเข้าไปในเมือง ขณะที่เดินทางออกมาได้ครึ่งทาง ได้มานั่งพักอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง 

หัวหน้าฤๅษีคิดในใจว่า
“ต้นไทรใหญ่ต้นนี้ เห็นทีจะมีเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่สิงสถิตอยู่อย่างแน่นอน  พวกเราจะดีใจเป็นอย่างยิ่งทีเดียว  ถ้าหากเทวดาหาน้ำเย็นๆ มาให้หมู่ฤๅษีได้ดื่มแก้กระหาย” 

พอท่านฤๅษีคิดเสร็จ ความอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น  เทวดาก็ได้บันดาลให้มีนํ้าดื่ม  ท่านฤๅษีได้คิดอยากได้อะไร ก็ได้ตามความปรารถนา
 
     หัวหน้าฤๅษีคิดว่า

“เราปรารถนาอะไร สิ่งนั้นก็สำเร็จแก่เราแล้ว  เทวดาตนนี้เป็นผู้มีฤทธานุภาพจริงๆ หนอ  ขณะนี้เราอยากเจอเทวดาตนนี้  ถ้าเทวดามีจริงก็ขอให้ปรากฏกายออกมาให้พวกเราได้เห็นด้วยเถอะ” 

ทันใดนั้น เทวดาก็ปรากฏกายอยู่ข้างต้นไทรใหญ่ทันที  มีรัศมีกายที่สว่างไสวมาก  เหล่าฤๅษีทั้งหลายถามเทวดานั้นว่า

“ท่านเทวดา ท่านได้ทำบุญกุศลอะไรเอาไว้  ทำไมถึงมาเป็นรุกขเทวดา ที่มีรัศมีกายสว่างไสวท่ามกลางทะเลทรายอย่างนี้เล่า” 

เทวดาเกิดความละอายในกุศลกรรมที่ได้ทำเอาไว้  เพราะเป็นความดีที่เล็กน้อย  จึงไม่กล้าบอก  แต่เมื่อถูกซักถามหนักเข้า  จึงเล่าให้ฟังว่า
 
     ในสมัยพุทธกาล  ท่านเกิดเป็นคนยากจน ต้องหาเช้ากินค่ำ ได้ไปขอรับจ้างทำงานในบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ทำหน้าที่หาฟืน 

ท่านจะออกไปเก็บฟืนตั้งแต่เช้ามืด แล้วกลับมาอีกทีในเวลาบ่ายทุกวัน 

ต่อมาวันหนึ่ง เป็นวันอุโบสถศีล ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ชักชวนให้ทุกคนในบ้าน สมาทานอุโบสถศีลกันหมด ทุกคนในบ้านก็ตั้งใจรักษาศีลเป็นอย่างดี 

เมื่อชายหนุ่มคนนี้กลับมาถึงบ้าน เห็นแต่สำรับอาหารที่เขาจัดไว้เพื่อตนเท่านั้น  เกิดความสงสัยขึ้นมา แม้ว่าจะหิวมากก็อดไม่ได้ที่จะถามแม่ครัวว่า

“ทำไมวันนี้ไม่มีใครมารับประทานอาหารร่วมกันเล่า  หรือว่าพวกท่านรับประทานเสร็จกันหมดแล้ว”
 
     แม่ครัวจึงได้เล่าให้ชายหนุ่มฟังว่าเป็นธรรมเนียมของบ้านท่านเศรษฐี  ว่าเมื่อถึงวันอุโบสถศีล ทุกคนในบ้านจะรักษาอุโบสถศีลกันหมด  เมื่อชายหนุ่มรู้ว่าทุกคนสมาทานอุโบสถศีลกันหมด เกิดจิตเลื่อมใส อยากจะรักษาศีล ๘ บ้าง จึงถามว่า

“แล้วเราจะรักษาอุโบสถศีลได้ไหม เพราะเราไม่ได้สมาทานตั้งแต่เช้าตรู่” 

คนในบ้านจึงให้ไปถามท่านเศรษฐีว่า

“เขามีศรัทธาอยากจะรักษาศีล ๘ บ้างจะได้ไหม” 

ท่านเศรษฐีก็บอกว่าได้ แต่วันนี้เธอคงจะรักษาได้แค่ครึ่งวัน

เมื่อรู้ว่ารักษาศีลครึ่งวันก็ได้  เขาจึงไม่ทานอาหาร ตั้งใจสมาทานศีล ๘ ให้บริสุทธิ์ที่สุด 

แต่เนื่องจากว่าตัวเองทำงานมาตลอดทั้งวัน  ไม่ได้ทานอาหารเลย ตกกลางคืนลมในท้องเกิดความปั่นป่วน ด้วยความหิวจัด

เป็นเพราะไม่เคยรักษาศีล ๘ มาก่อน จึงเกิดความทุกข์ทรมาน แต่ก็พยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้  แม้ว่าท่านเศรษฐีจะให้ทานยา ให้ดื่มนํ้าหวาน หรือนํ้าปานะที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต เขาก็ไม่ยอมดื่ม  มีความมุ่งมั่นที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุด
 
     เขาได้กล่าวว่า

“แม้ข้าพเจ้าจะเป็นคนเข็ญใจ แต่ก็จะตั้งใจรักษาศีล ๘ ครึ่งวันนี้ให้บริสุทธิ์ให้ได้  ขอศีลของข้าพเจ้าอย่าได้ด่างพร้อยแม้แต่นิดเดียวเลย”
 
     เขามีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว  ยังจิตให้เลื่อมใสในศีลที่ตนเองรักษาเอาไว้ดีแล้ว  ตกดึกคืนนั้นเขาก็ได้สิ้นชีวิตลง  ด้วยจิตที่ผ่องใสก่อนสิ้นชีวิตจึงได้ไปเกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่แห่งนั้น  เทวดาเมื่อเล่าเรื่องจบจึงกล่าวว่า

“ชายหนุ่มคนนั้นก็คือข้าพเจ้านี่แหละ สมบัติทั้งหลายที่ได้มานี้ เป็นเพราะข้าพเจ้าอาศัยท่านมหาเศรษฐีผู้เป็นนาย และเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า”
 
     เหล่าฤๅษีทั้ง ๕๐๐ พอฟังคำว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็เกิดความปีติปราโมทย์ ขนลุกชูชันเหมือนกับได้ยินข่าวอันเป็นมหามงคล  ต่างก็ลุกขึ้นประคองอัญชลีต่อเทวดา เปล่งอุทานขึ้นมาพร้อมกันว่า

“โอ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ท่านเทวดา นับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐของเรา ที่ท่านให้เราได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พวกเราเฝ้ารอคอยบุคคลเช่นนี้มายาวนานประหนึ่งว่ารอคอยมาเป็นแสนปี พวกเราจะไปเฝ้าพระบรมศาสดาในบัดนี้” 

เมื่อกล่าวเสร็จ ก็ได้อำลาเทวดารีบมุ่งหน้าไปวัดพระเชตวัน  เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ทันที
 
     พระบรมศาสดาทรงทราบว่า ฤๅษีเหล่านี้แม้จะเป็นนักบวชนอกศาสนา แต่ก็เป็นบัณฑิต เป็นนักพรตผู้แสวงหาทางหลุดพ้น  เป็นผู้มีบุญที่ได้สั่งสมมาดีแล้ว  ต่างได้เฝ้ารอคอยและแสวงหา บุคคลผู้ชี้หนทางดับทุกข์ตลอดมา 

บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะให้เหล่าฤๅษีได้ดื่มรสพระธรรม เมื่อเหล่าฤๅษีเข้าเฝ้าแล้ว  ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์แล้วทั้งหมดก็สามารถทำใจหยุดนิ่ง เข้าถึงกายธรรมอรหันตเป็นพระอรหันต์ในทันที
………………………………………………………………………….
กัลยาณมิตรผู้ชี้ขุมทรัพย์
ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ