พระมหาชนกตอนที่ 7
อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 51
“ได้ยินว่า พระราชาของพวกเรา ทรงผนวชเสียแล้ว พวกเราจักได้พระราชาผู้ดำรงอยู่ในยุติธรรมเห็น ปานนี้แต่ไหนอีกเล่า”
แล้วต่างร้องไห้ติดตามพระราชาไป
ทั้งพระนางสีวลี เหล่าสนม และประชาชน ต่างพากันทูลวิงวอน ใคห้พระมหาชนกอยู่ครองราชย์ต่อไป แต่พระมหาชนกทรงหนักแน่น มั่นพระทัยในการออกบวช ได้เสด็จมุ่งหน้าสู่ป่าต่อไป ไม่ว่าใครจะ
ทูลวิงวอนอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ชาติชายตัดสินใจทำอะไรอันดีงามต้อง เด็ดขาด จึงจะสำเร็จผล ถ้ามัยแต่เชื่อคำทักท้วงของเหล่าปุถึชนซึ่ง เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ก็จะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
พระนางสีวลีครั้นเห็นว่าไม่ว่าจะทูลอ้อนวานและคร่ำครวญอย่าง ไร ก็ไม่อาจทำให้พระมหาชนกเสด็จกลับได้ จึงทรงคิดอุบายเรียกให้ มหาเสนาคุตมาแล้วรับสั่งให้จุดไฟเผาโรงเรือนที่เก่าชำรุด ศาลาเก่า ทรุดโทรม
ทิศทางเบื้องหน้าที่พระมหาชนกเสด็จไป ก็ให้จุดไฟเผา กองหญ้ากองใบไม้ให้เป็นควันคลุ้มขึ้นตลอดทาง แล้วพระนางก็ เข้าไปทูลว่า
“พระคลังทั้งหมดในวังตอนนี้ถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว ขอพระองค์เสด็จกลับเพื่อบัญชาการการดับไฟโดยด่วนเถิด ”
พระมหา ชนกทรงรู้ทันว่านั่นเป็นกลอุบายของพระมเหสี ที่ทำไปเพื่อให้พระ องค์เสด็จกลับวัง จึงไม่ทรงหลงกลอุบายได้ตรัสกับพระนางว่า
“เราไม่มีความกังวลห่วงใยในทรัพย์สมบัติอีกแล้วนะน้องเอ๋ย ของเหล่านั้นจะถูกไฟไหม้เผาผลาญอย่างไร เราไม่สนใจอีกแล้ว”
แล้วก็เสด็จมุ่งหน้าต่อไปโดยได้เสด็จออกทางประตูทิศอุดร พวกสนม ทั้ง ๗๐๐ นางก็ออกตามเสด็จไปเป็นขบวน
พระนางสีวลีทรงคิดอุบายใหม่ขึ้นอีก คราวนี้รับสั่งให้เหล่าอำ มาตย์ไปสร้างสถานการณ์ให้เป็นเหมือนโจรเที่ยวไล่ฆ่าชาวบ้านและ ปล้นพระนคร แต่พระชนกทรงรู้ทันอีกว่านี่ก็คงเป็นแผนการของพระ นาง
เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ตลอดระยะเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ยังไม่ เคยมีข่าวเรื่องโจรปล้นฆ่าสักที จึงไม่ทรงใส่พระทัยเรื่องนี้ยังคงเสด็จ เดินหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง
พระนางสีวลี และเหล่านางสนม แล้วชาวเมืองทั้งหลายก็ยังคง มุ่งมั่นตามเสด็จเพื่อหาทางใช้อุบายทูลชักชวนให้พระมหาชนกกลับวังให้จงได้
พระมหาชนกทรงคิดจะให้คนเหล่านั้นเลิกติดตามพระ องค์และกลับวังกลับบ้านกันเสียที เมื่อไปถึงบนถนนใหญ่ จึงหยุดพัก แล้วทรงทำรอยขีดบนแผ่นดิน
ห้ามใครล่วงล้ำเข้ามาเป็นอันขาด หาไม่แล้วจะมี่โทษอาญาหนัก มหาชนจึงหยุดชะงักที่ตรงนั้น พระนาง สีวลีฟังพระราชดำรัสตรัสห้ามเช่นนั้นก็ทรงเสียพระทัยอย่างใหญ่ หลวง
ทรงทูลอ้อนวอนนอนกลิ้นเกลือกไปมาเพื่อให้พระราชสวามี กลับมาจนรอยขีดลบเลือนหายไปเมื่อไม่มีรอยขีดเป็นเขตแดนห้ามล่วงล้ำเข้าไปแล้ว จึง พากันเสด็จไปตามมรรคาที่พระเทวีเสด็จไป
พระมหาชนกทรงบ่าย พระพักตร์เสด็จไปป่าหิมพานต์ทางทิศอุดร
ฝ่ายพระนางสีวลีเทวีก็พาเสนาพลพาหนะทั้งปวงตามเสด็จไป ด้วย พระมหาชนกไม่อาจที่จะให้มหาชนกกลับได้
เสด็จไปสิ้นทาง ประมาณหกสิบโยชน์ เมื่อเสด็จไปถึงที่แห่งหนึ่ง พระมหาชนกก็ทรง ประทับพักผ่อนเพื่อคลายเหน็ดเหนื่อยพระวรกายที่ใต้ร่มไม้ริมทาง
ขณะนั้นได้มีพระดาบสตนหนึ่งชื่อ นารทดาบส ซึ่งอาศัยอยู่ใน สุวรรณคูหา ป่าหิมพานต์ได้ออกจากสมาบัติ เล็งทิพยจักษุดูเห็นพระ มหาชนกซึ่งมุ่งมั่นออกบรรพชา
มีพระมเหสี เหล่านางสนม กับประ ชาชนจำนวนมากออกติดตามพยายามวิงวอนให้คืนกลับพระนครค รองราชสมบัติอยู่ตลอดเวลา จึงดำรัสว่าเราควรไปให้กำลังใจให้ ยึดมั่นในทางบรรพชายิ่งขึ้น
หาไม่แล้วอาจจะใจอ่อนได้ คิดดังนั้น แล้วก็เหาะไปให้กำลังใจถึงที่
พระนารทดาบสเห็นผู้คนมากมายส่งเสียงอื้ออึงไปทั่วป่า ก็ทูล ว่า
“ทำไมผู้คนมากมายจึงส่งเสียงอื้ออึงอยู่ในป่านี้ใครมาเล่นอะไรอยู่ในป่าเหมือนกับเล่นสนุกอยู่ในบ้าน”
พระมหาชนกตรัสว่า
“พวกเขาติดตามข้าพเจ้ามา เพื่อกลับ ไปครองราชย์ แต่ข้าพเจ้าไม่กลับไปอีกแล้ว เพราะต้องการแสวงหา ธรรมของนักปราชญ์ พระผู้เป็นเจ้าก็รู้อยู่ มาถามข้าพเจ้าเพราะเหตุ ไร”
พระนารทดาบสทูลว่า
“พระองค์เพียงทรงเครื่องของนักบวชเท่านั้น ยังไม่ชื่อว่าข้ามพ้น
กิเลสได้แล้ว อันตรายของพระองค์ยังมีอยู่อีกมากนัก”
พระมหาชนกตรัสว่า
“ก็เมื่อข้าพเจ้าไม่ต้องการกามสุขแล้ว แล้
วอันตรายจะเกิดมีแก่ข้าพเจ้าได้อย่างไร”
พระนารทดาบสตอบว่า
“อันตรายจะมีแก่พระองค์ก็คือ
๑.ความ หลับ
๒. ความเกียจคล้าน
๓.ความง่วงเหงาหาวนอน
๔. ความไม่ ชอบใจ
๕. ความมัวเมาในอาหาร
เหล่านี้เป็นอันตรายมาก เพราะ เมื่อพระองค์ออกบวช คนทั้งหลายก็จะนำอาหารอย่างดีมาถวาย พระองค์เสวยแล้วก็จะเอาแต่บรรทม
ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกขี้เกียจ จะหวน นึกถึงกาม แล้วก็จะไม่พอพระทัยในการออกบวช นี่แหละจงระวัง เรื่องอาหารไว้ให้ได้”
พระมหาชนกตรัสว่า “ที่ท่านอาจารย์ได้สั่งสอนข้าพเจ้าอย่างนี้ดีนักหนา อยากจะ
ทราบว่าท่านนามว่ากระไร” พระนารทดาบสตอบว่า
“ผู้คนเข้าเรียกอาตมภาพว่า นารทะ โดยโคตรว่ากัสสปะ (นารทกัสสปโคตร) ที่อาตมภาพมาหาพระองค์ก็เพราะเห็นว่า การ คบสัตบุรุษเป็นความดี
ขอพระองค์จงทรงยินดีในการออกบวชเถิด อย่าได้ท้อพระทัยเสียก่อนเลย ของพระองค์จงเจริญพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ของพระองค์จงบำเพ็ญศึลและฌานให้บริบูรณ์เถิด
ขอพระ องค์จงสมบูรณ์ด้วยพระขันติธรรม และความสงบระงับกิเลสเถิด ของพระองค์อย่าทรงถือตัวว่าเป็นกษัตริย์ ขออย่าให้ทำพระราช หฤทัยให้ฟูๆ แฟบๆ
ขอจงตั้งใจบำเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ อภิญญา ๕ สมาบัติ และ บริกรรมกสิณ ๑๐ ต่อไปเถิด”
ครั้นถวายโอวาทแล้วก็เหาะกลับไปยังอาศรม
เมื่อพระนารดาบสกลับไปแล้ว ก็มีพระมิคชินดาบสเหาะมาด้วย ดำริว่า เราจักไปให้โอวาทแก่พระมหากษัตริย์ เพื่อให้มหาชนกบริ วารกลับไปเสียที เมื่อไปถึงที่แล้วก็ทูลว่า
“พระองค์ทรงละช้าง ม้า บ้านเมือง ออกมาบวชทรงยินดีในบาตร ญาติมิตรและชาวบ้านคงได้ ทำอะไรผิดแก่พระองค์บ้างกระมัง พระองค์ทรงละจากอิสริยสุขแล้ว ไฉนจึงยินดีอยู่ในบาตร”
พระมหาชนกตรัสถามจนทราบนามของพระดาบสแล้วจึงตรัส ว่า
“ท่านพระมิคชินดาบส ข้าพเจ้าไม่ได้ทำผิดแก่ใครๆ ญาติหรือ ใครๆ ก็ไม่ได้ทำผิดแก่ข้าพเจ้า เพียงแต่ข้าพเจ้าเห็นผู้คนในโลก จมอยู่ในกองกิเลส
อันเป็นเหตุให้เบียดเบียนกัน จนถูกจองจำอยู่ ในคุกตะรางบ้าง ถ้าเราจะจมอยู่ในกิเลสก็คงจะเป็นเหมือนอย่างเขา คิดดังนั้นแล้วจึงออกบวชพระมิคชินดาบสถามว่า “ใครสั่งสอนพระองค์หรือ จึงตรัสได้ดี ถึงขนาดนี้”
พระมหาชนกตรัสว่า
“ความจริง ข้าพเจ้าก็ได้เคารพต่อสมณะและพราหมณ์มาแล้ว เหมือนกัน แต่ไม่เคยไต่ถามอะไรๆ กะท่าน แต่ครั้นหนึ่งข้าพเจ้าได้ เข้าไปในสวนหลวง พร้อมด้วยขบวนตามเสด็จ ในที่นั้นข้าพเจ้าได้
ต้นมะม่วง ๒ ต้น ต้นหนึ่งมีผลดก ถูกคนหักกิ่งก้านจนโทรมลง อีกต้นหนึ่งไม่มีผลเลย ไม่ถูกใครหักกิ่งก้านรานใบ ยังคงเขียวชอุ่ม เดินสง่า จึงเกิดความคิดว่า
พวกศัตรูก็จักฆ่าเราผู้มีสมบัติ ดุจต้นมะ ม่วงที่มีผลฉะนั้น เสือเหลือง ถูกฆ่าเพราะหนังช้าง ถูกฆ่าเพราะงา คนมีทรัพย์ถูกฆ่าเพราะทรัพย์ ผู้ไม่มีเหย้าเรือน
ผู้ไม่เกี่ยวข้องกับ กิเลส ตัณหา ก็จะไม่มีใครฆ่า ดุจต้นมะม่วงที่ไร้ผลฉะนั้น ต้นมะม่วง ทั้งสองต้น ทั้งที่มีผลและไม่มีผลนั่นแหละเป็นผู้สั่งสอนข้าพเจ้า”
พระมิคชินดาบสได้ฟังดังนั้นแล้วก็ถวายโอวาทว่า “ขอพระองค์ จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด” แล้วก็เหาะกลับไปยังอาศรมในป่าหิมพาน ต์
เมื่อพระมหาชนกได้รับกำลังใจจากสองพระดาบสนั้นแล้ว ก็ทร งมีพระวิริยะอุตสาหะมากขึ้น ทรงยึดมั่นในการบรรพชาอย่างเด็ด เดี่ยว ถึงอย่างไรก็จะไม่หวนกลับคืนพระนครอย่างแน่นอน
ครั้นพระมิคชินดาบสกลับไปแล้ว พระนางสีวลีได้ทูลวิงวอ นขอให้พระราชสวามีกลับพระนคร อภิเษก พระโอรสทีฆาวุราชกุมาร ขึ้นครองราชสมบัติ แล้วจึงค่อยออกบวชต่อภายหลัง
พระมหาชนกตรัสว่า
“เทวีเอ๋ย เราออกบวชแล้ว ขอให้ประชาชนอภิเษกทีฆาวุกุมาร ขึ้นครองราชย์แทนเราเถิด”
พระนางสีวลีทูลว่า
“เมื่อพระองค์ออกบวชเสียก่อนฉะนี้ หม่อมฉันและประชาชนจะทำอย่างไรถูกเล่า
” พระมหาชนกตรัสว่า
“เมื่อประชาชนอภิเษกให้พระโอรสขึ้นครองราชย์แล้ว พระนา งก็ควรกำกับดูแลให้พระโอรสศึกษาราชประเพณี วิธีการปกครองที่ดี คอยห้ามพระโอรสให้เว้นจากทุจริตทั้งทางกาย ทางวาจา และทาง ใจ ให้ดำรงในทศพิธราชธรรมเถิด”
ตรัสเช่นนั้นแล้วก็ทรงนิ่งอยู่ ฝ่ายพระนางสีวลีก็ไม่รู้จะตรัสอะไร ต่อไป จึงทรงนิ่งอยู่เช่นเดียวกัน
ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว มหาชนกทั้งหมดจึงเข้าพักผ่อน ตามใต้ร่มไม้ด้วยความเหนื่อยอ่อน
รุ่งขึ้น พระมหาชนกได้เสด็จเดินทางต่อไป โดยมีขบวนมหาชน อันมีพระสีวลีเป็นหัวหน้าตามเสด็จไปอย่างกระชั้นชิด ได้ไปถึงถูน นคร ก็เป็นเวลาออกบิณฑบาตรพอดี
ขณะนั้นได้มีชายคนหนึ่งซื้อ ก่อนเนื้อมาย่างให้สุก เสร็จแล้วใส่ภาชนะวางไว้บนพื้น พอเขาเผลอ เรอไปหน่อยเดียว ก็มีสุนัขมาคาบเอาก้อนเนื้อหอมกรุ่นนั้นไป ชาย เจ้าของเนื้อรีบวิ่งไล่ตามไป
แต่เมื่อเห็นว่าไม่พ้นแน่แล้ว จึงปล่อยมัน ไป ฝ่ายสุนัขวิ่งคาบก้อนเนื้อไปพบขบวนมหาชน ก็ตกใจกลัวทิ้งก้อน เนื้อไว้ตรงนั้น
พระมหาชนกเห็นก้อนเนื้อนั้น
ก็ทรงพิจารณาครู่หนึ่ง เมื่อไม่มี เจ้าของติดตามมา จึงหยิบขึ้นทำความสะอาด ใส่ลงในบาตร ประทับ นั่งเสวยก้อนเนื้อที่ใต้ต้นไม้ พระนางสีวลีทอดพระเนตรเห็นดังนั้น
ก็ทรงดำริว่า นี่พระสวามีของเราคงจะบวชแน่แล้ว ถึงเสวยของเดน สุนัขได้อย่างนี้ จึงกราบทูลว่า
“ทูลกระหม่อม ทำไมถึงได้เนื้อสกปรกอย่างนั้นได้” ครั้งเสวยก้อนเนื้อแล้ว พระมหาชนกก็ทรงบ้วนพระโอษฐ์ ล้าง
พระหัตถ์และบาทแล้วทรงพักอยู่ครู่หนึ่งก็เสด็จออกเดินทาง
เมื่อเสด็จไปถึงที่แห่งหนึ่ง ได้พบเด็กหญิงเอากระด้งผัดทราย เล่น แล้วกำไลที่สวมอยู่ในมือข้างหนึ่งเกิดเสียงดัง ส่วนกำไลที่สวม อยู่ในอีกมือข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง
พระมหาชนกจึงตรัสถามเด็กว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพื่อให้พระนางสีวลีและผู้ติดตามได้คติธรรมขึ้น มาบ้าง
เด็กหญิงตอบว่า
“กำไลมือที่มีเสียงดัง เพราะมันมี ๒ อัน มันจึง กระทบกัน ส่วนที่ไม่มีเสียงดังเพราะมันมีอันเดียว ก็เหมือนคนเรานั่น แหละค่ะ ถ้าอยู่ร่วมกันตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ก็ย่อมกระทบกระทั่งกันบ้าง ถ้าอยู่คนเดียวก็สงบเงียบ เพราะไม่ไปกระทบกระทั้งกับใคร”
พอฟังเด็กหญิงพูดจบ พระมหาชนกก็ตรัสกับพระนางสีวลีว่า
“เห็นไหมว่า แม้แต่เด็กหญิงชาวบ้านก็ยังพูดจาให้น่าคิด เธอ คล้ายจะตำหนิเราที่ออกบวชแล้ว ยังมีผู้ติดตามมากมาย ซึ่งดูไม่ เหมาะสมเลย เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราขาดกัน เลิกเป็นสามีภริยากัน เสียที”
พระนางสีวลีทูลอ้อนวอนด้วยความน้อยพระทัยว่า ถ้าอย่างนั้น ก็แยกกันเดินให้พระองค์เดินไปทางขวา หม่อมฉันจะไปทางซ้าย แต่ เมื่อพระมหาชนกเสด็จไป พระนางก็ทรงทำใจไม่ได้จึงเสด็จต่อไปอีก
พอไปถึงบ้านช่างศร มหาชนกได้ตรัสถามช่างศรว่า ทำไมถึง หลับตาข้างหนึ่งเวลาเล็งดูลูกศรนายช่างศรทูลว่า
“สมณะ ถ้าเล็งสองตาพร้อมกันก็จะมองดูพร่าๆ จะไม่รู้ว่าคดตรง ไหน ตรงตรงไหน แต่ถ้าหลับข้างหนึ่งเล็งดูข้างหนึ่งก็จะรู้ได้ ก็เหมือ นคนเราอยู่ด้วยกันสองคน ก็จะมีเรื่องขัดแย้งกันบ้าง แต่ถ้าอยู่คน เดียว ก็ไม่ต้องขัดแย้งกับใคร ท่านสมณะถ้าท่านอยากจะอยู่อย่าง เป็นสุข ก็จงอยู่คนเดียวเถิดครับ”
พระมหาชนกตรัสถามพระนางสีวลีว่า
“เธอได้ยินแล้วใช่ไหม ช่างศรคนธรรมดา แต่พูกจามีคติให้แง่
คิด เราทั้งสองควรแยกทางกันได้แล้ว”
พระนางสีวลีรู้ว่าครั้งนี้คงจะต้องแยกทางกันแน่นอนแล้ว จึง
กราบทูลด้วยความน้อยพระทัยว่า
“หม่อมฉันคงจะไม่มีวาสนาได้อยู่ร่วมกับพระองค์อีกแล้ว”
ตรัสเช่นนั้นแล้วก็ทรงเป็นลมสลบลงไป
พระมหาชนกเห็นเช่นนั้นก็ทรงสงสารพระเทวี แต่ทรงคิดว่า คงไม่เป็นไร ในที่สุดสถานการณ์ก็คลี่คลายไปได้
จึงรีบเสด็จเข้าไป ในป่าหิมพานต์ พวกอำมาตย์ข้าราชบริพารได้เข้าไปช่วยกัน พยาบาลนาง สักพักหนึ่งก็ฟื้นคืนพระสติ พระนางเจ้าไม่เห็นพระมหา ชนก
ก็มีรับสั่งให้ตามหาทางโน้นทีทางนี้ทีแต่ก็ไม่พบ จึงทรงร่ำไห้ คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ครั้นแล้วก็โปรดให้สร้างพระเจดีย์ตรงที่ พระมหาชนกประทับยืน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้ว เสด็จกลับกรุงมิถิลา
ฝ่ายพระมหาชนกเมื่อเสด็จเข้าถึงป่าหิมพานต์ ก็ทรงจัดหาที่พัก อาศัย แล้วเจริญอภิญญา สมาบัติ ตลอด ๗ วัน โดยมิได้เสด็จออก ไปไหนเลย
..แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..