อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 51 –พระมหาชนกตอนที่ 8–

พระมหาชนกตอนที่ 8

อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 51

เมื่อเสด็จไปถึงที่แห่งหนึ่ง ได้พบเด็กหญิงเอากระด้งผัดทราย เล่น แล้วกำไลที่สวมอยู่ในมือข้างหนึ่งเกิดเสียงดัง ส่วนกำไลที่สวม อยู่ในอีกมือข้างหนึ่งไม่มีเสียงดัง

พระมหาชนกจึงตรัสถามเด็กว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพื่อให้พระนางสีวลีและผู้ติดตามได้คติธรรมขึ้น มาบ้าง
เด็กหญิงตอบว่า

“กำไลมือที่มีเสียงดัง เพราะมันมี ๒ อัน มันจึง กระทบกัน ส่วนที่ไม่มีเสียงดังเพราะมันมีอันเดียว ก็เหมือนคนเรานั่น แหละค่ะ ถ้าอยู่ร่วมกันตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ก็ย่อมกระทบกระทั่งกันบ้าง ถ้าอยู่คนเดียวก็สงบเงียบ เพราะไม่ไปกระทบกระทั้งกับใคร”

 

พอฟังเด็กหญิงพูดจบ พระมหาชนกก็ตรัสกับพระนางสีวลีว่า

“เห็นไหมว่า แม้แต่เด็กหญิงชาวบ้านก็ยังพูดจาให้น่าคิด เธอ คล้ายจะตำหนิเราที่ออกบวชแล้ว ยังมีผู้ติดตามมากมาย ซึ่งดูไม่ เหมาะสมเลย เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราขาดกัน เลิกเป็นสามีภริยากัน เสียที”

พระนางสีวลีทูลอ้อนวอนด้วยความน้อยพระทัยว่า ถ้าอย่างนั้น ก็แยกกันเดินให้พระองค์เดินไปทางขวา หม่อมฉันจะไปทางซ้าย แต่ เมื่อพระมหาชนกเสด็จไป พระนางก็ทรงทำใจไม่ได้จึงเสด็จต่อไปอีก

พอไปถึงบ้านช่างศร มหาชนกได้ตรัสถามช่างศรว่า ทำไมถึง หลับตาข้างหนึ่งเวลาเล็งดูลูกศรนายช่างศรทูลว่า

“สมณะ ถ้าเล็งสองตาพร้อมกันก็จะมองดูพร่าๆ จะไม่รู้ว่าคดตรง ไหน ตรงตรงไหน แต่ถ้าหลับข้างหนึ่งเล็งดูข้างหนึ่งก็จะรู้ได้ ก็เหมือ นคนเราอยู่ด้วยกันสองคน ก็จะมีเรื่องขัดแย้งกันบ้าง แต่ถ้าอยู่คน เดียว ก็ไม่ต้องขัดแย้งกับใคร ท่านสมณะถ้าท่านอยากจะอยู่อย่าง เป็นสุข ก็จงอยู่คนเดียวเถิดครับ”

พระมหาชนกตรัสถามพระนางสีวลีว่า

“เธอได้ยินแล้วใช่ไหม ช่างศรคนธรรมดา แต่พูกจามีคติให้แง่
คิด เราทั้งสองควรแยกทางกันได้แล้ว”

พระนางสีวลีรู้ว่าครั้งนี้คงจะต้องแยกทางกันแน่นอนแล้ว จึง
กราบทูลด้วยความน้อยพระทัยว่า

“หม่อมฉันคงจะไม่มีวาสนาได้อยู่ร่วมกับพระองค์อีกแล้ว”

ตรัสเช่นนั้นแล้วก็ทรงเป็นลมสลบลงไป
พระมหาชนกเห็นเช่นนั้นก็ทรงสงสารพระเทวี แต่ทรงคิดว่า คงไม่เป็นไร ในที่สุดสถานการณ์ก็คลี่คลายไปได้

จึงรีบเสด็จเข้าไป ในป่าหิมพานต์ พวกอำมาตย์ข้าราชบริพารได้เข้าไปช่วยกัน พยาบาลนาง สักพักหนึ่งก็ฟื้นคืนพระสติ พระนางเจ้าไม่เห็นพระมหา ชนก

ก็มีรับสั่งให้ตามหาทางโน้นทีทางนี้ทีแต่ก็ไม่พบ จึงทรงร่ำไห้ คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ครั้นแล้วก็โปรดให้สร้างพระเจดีย์ตรงที่ พระมหาชนกประทับยืน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้ว เสด็จกลับกรุงมิถิลา

ฝ่ายพระมหาชนกเมื่อเสด็จเข้าถึงป่าหิมพานต์ ก็ทรงจัดหาที่พัก อาศัย แล้วเจริญอภิญญา สมาบัติ ตลอด ๗ วัน โดยมิได้เสด็จออก ไปไหนเลย

พระนางสีวลีเมื่อเสด็จกลับพระนครแล้ว ด้วยความอาลัยในพระ ราชสวามี จึงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นหลายองค์ คือ ที่พระมหาชนก ตรัสกับช่างศร ที่ตรัสกับเด็กหญิงที่เสวยก้อนเนื้อ ที่ตรัสกับมิค ต่อ มาได้อภิเษกทีฆาวุราชกุมารขึ้นเป็นพระราชา จากนั้นพระนางก็ออ กบวชเป็ดาบสสินี

(ดาบสผู้หญิง)

พระดาบสมหาชนกและพระดาบสสีวลี สำเร็จฌานแล้ว ก็ดำ รงอยู่ในฌานไม่มีเสื่อม ดำรงอยู่ในที่อยู่ของตนจนสิ้นอายุ ก็เสด็จสู่ พรหมโลกเหมือนกัน

พระศาสดาตรัสสรุปชาดกว่า “
ท้าวสักกเทวราชในอดีตชาตินั้น
ได้เกิดมาเป็น พระอนุรุทธะในชาตินี้

พราหมณ์ทิศาปราโมกข์
ได้มา เกิดเป็นพระมหากัสสปะ

นางมณีเมขลาเทพธิดาผู้รักษาสมุทร
ได้มา เกิดเป็นอุบลวรรณภิกษุณี

 

นารทะฤาษีได้เกิดมาเป็นพระโมคคัลลานะ

เด็กหญิงได้เกิดมาเป็นนางเขมาภิกษุณี

ช่างศรได้เกิดมาเป็น พระอานนท์

ราชบริษัทที่ เหลือได้มาเป็นพุทธบริษัท

สีวลีเทวีได้เกิด มาเป็นพระนางพิมพา

ทีฆาวุได้เกิดเป็นราหุล

พระชนกพระชนนีได้ มาเกิดเป็นมหาราชศากยสกุล ส่วนพระมหาชนกนรินทรราช
คือ เราพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เอง”
ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“มีความเพียรอยู่ที่ไหนย่อมมีความสำเร็จอยู่ที่ นั่น”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อาสึเสเถว ปุริโส น นิพฺพินฺเทยฺย ปณฺฑิโต
ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ ยถา อิจฺฉึ ตถา อหุ
เป็นคนควรหวังเรื่อยไป บัณฑิตไม่ควรท้อแท้

เราเห็นประจักษ์มากับตนเอง เราปรารถนา อย่างใด ก็ได้สมตามนั้น

อนโณ ญาตีนํ โหติ เทวานํ ปิตุนญฺจ โส

เมื่อได้เพียรพยายามแล้ว ถึงจะตายก็ชื่อว่าตา ยอย่างไม่เป็นหนี้ใครไม่ว่าในหมู่ญาติ หมู่เทวดา หรือว่าพระพรหม ทั้งหลาย

..แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..