อ่านหนังสือวันละหน้า—หน้าที่48 มหาชนกชาดก ทรงบำเพ็ญวิริยะบารมี—

อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่48

มหาชนกชาดก ทรงบำเพ็ญวิริยะบารมี

เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงถือกำเนิดอยู่ ในราชตระกูล ที่อยู่ในชมพูทวีป

ในครั้งนั้นยังมีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระมหา ชนก หรือ พระมหาชนกราช ครองราชย์สมบัติอยู่ในกรุงมิถิลา
หรือ มิถิลานคร หรือ มิถิลาราชธานี แคว้นวิเทหะ ( วิเทหรัฐ )

พระเจ้าพระมหาชนกมีพระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ พระอริ ฏฐชนก พระองค์พี่ กับพระโปลชนก พระองค์น้อง แต่พระมเหสีไม่ ปรากฏพระนาม เมื่อพระโอรสทั้งสองพระองค์ทรงเจริญวัยแล้ว

สมเด็จพระราชบิดาก็ได้ทรงสถาปนาพระโอรสองค์พี่เป็นอุปราช และทรงสถาปนาพระโอรสองค์น้องเป็นเสนาบดี

กาลต่อมา สมเด็จพระมหาชนกราชได้เสด็จสวรรคต พระอริ ฏฐชนกพระโอรสองค์พี่ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ แล้วทรงสถาปนา พระโปลชนก พระกนิษฐาภาดาเป็นอุปราช

ทั้งสองพระองค์ทรงช่วย กันบริหารราชกิจด้วยดีเสมอมา แล้วทรงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวระ หว่างพี่น้องดีมาก คือ รักใคร่กันดี ไม่มีปัญหาอะไรขัดแย้งกัน

อยู่มาไม่นาน อำมาตย์คนหนึ่งรับใช้ใกล้ชิดของพระเจ้าอริฏฐ ชนก เกิดความริษยาพระโปลชนก จึงทูลใส่ร้ายพระอุปราชโปลชนก ต่อพระราชาว่า

“ ขอเดชะ ! พระอนุชาคิดไม่ซื่อต่อพระองค์ พระเจ้าข้า ข้าพระ องค์ทราบมาว่าพระอนุชากำลังคิดทำการกบฎเพื่อแย่งชิงราชบัลลัง ก์ และ กำลังวางแผนจะลอบปลงพระชนม์ พระองค์อยู่ในตอนนี้ ”

แรก ๆ พระเจ้าอริฏฐชนกก็ไม่เชื่อ เพราะเท่าที่เห็นที่เป็นอยู่ก็ ทรงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ไม่มีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันเลยแม้ แต่น้อย แต่ครั้นถูกบ่างช่างยุ คอยทูลตอกลิ่ม เพิ่มเติมเข้าไปทุกวัน ๆ

“ ขอเดชะ ! เรื่องของพระอนุชา เห็นทีพระองค์จะรอช้าไม่ได้ ใครลงมือก่อน คนนั้นก็ได้เปรียบ ”

ในที่สุด พระเจ้าอริฏฐชนกก็ทรงตัดสินพระทัยให้ทำการจับกุม คุมขังพระอนุชาทันที โดยให้ควบคุมรักษาไว้ในคฤหาสน์ใกล้พระ ราชนิเวศน์ และห้ามเยี่ยมห้ามประกันโดยเด็ดขาด

เมื่อพระเชษฐากับพระอนุชาแตกสามัคคี ไม่รักใคร่ปรองดอง กันดังเดิม ก็เป็นการทำลายคุณธรรม ระหว่างญาติให้สิ้นสูญ ความ พินาศก็วิ่งเข้าทำลายทั้งสองพระองค์ให้ย่อยยับ

พระอุปราชโปลชนกในพระทัยไม่เคยคิดร้ายต่อพระเชษฐาเลย แม้แต่น้อย ทรงปฏิบัติพระองค์ด้วยความจงรักภักดีเสมอ

ครั้ง ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมอย่างนี้ก็ทรงเสียพระทัย เมื่อทรงทราบ ว่าเหตุนี้ทรงถูกจับกุมคุมขังครั้งนี้ ก็เพราะมีความผิดฐานเป็นกบฏ คิดจะทรยศพระราชา

ทรงรู้ว่าใครเป็นตัวการใส่ร้าย พระองค์ ก็ทรงเสียพระทัยยิ่งขึ้น เสียพระทัยที่พระเชษฐาคงหูเบาไปเชื่อคนอื่น เขายุแยงตะแคงรั่วจนทำลายความเป็นพี่เป็นน้องไปสิ้น

ครั้งตั้งพระ สติได้แล้ว ก็ทรงคิดหาหนทางที่จะออกไปจากคุก เพราะไม่แน่ พระทัยในความปลอดภัย จะถูกชังลืมหรือจะจะถูกปลงพระชนม์เสีย

เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่เมื่อทรงคิดพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ก็ไม่มีหนทางที่จะ ออกไปจากคุกได้เลย เพราะไม่อาจจะติดต่อใครได้แม้แต่คนเดียว

ในที่สุดก็ทรงคิดพึ่งตนเอง ตนเป็นที่พึ่งของตนได้ดีที่สุด ที่พึ่งใดเล่า จะดีกว่าการได้ตนเองเป็นที่พึ่ง จึงตั้งสัตยาธิษฐานขึ้นว่า

“ ถ้าข้าพเจ้า คิดกบฏทรยศต่อพระเชษฐาจริง ขอให้เครื่องจอง จำจงตรึงมือเท้าของข้าพเจ้าให้แน่นหน้าแม้แต่ประตูก็จงปิดตาย แต่ถ้าข้าพเจ้ามิได้คิดกบฏทรยศต่อพระเชษฐา ขอให้เครื่องจองจำ จงหลุดออกจากมือเท้าของข้าพเจ้า แม้แต่ประตูก็จงเปิดออก ”

สิ้นคำอธิษฐาน ด้วยเดชานุภาพแห่งความสัตย์ ความจริง เครื่องจองจำก็หักออกเป็นท่อน ๆ แม้ประตูก็เปิดออกในทันใด เมื่อ งออกไปพ้นคุกได้ พระโปลชนกก็เสด็จเล็ดลอบหลบหนีไปทางแถบ ชายแดน

ซ่อนพระองค์อยู่กับชาวบ้านที่มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ พอตั้งหลักได้ก็ทรงซ่องสุมผู้คนไว้เป็นกำลังเป็นจำนวนมาก จน กระทั่งประชาชนแถบชายแดนได้กลายเป็นคนของพระองค์ไปทั้งสิ้น

ครั้นเจ้าหน้าที่ของฝ่ายพระเจ้าอริฏฐชนกออกเที่ยวหาตามจับ พระอนุชาในแถบชายแดน ประชาชนก็พากันปกปิดความจริง

ช่วย กันพาหลบซ่อนจนไม่อาจจับตัวได้
อยู่มาไม่นาน พระโปลชนกก็ได้จัดตั้งกองกำลังขึ้นอย่างเข้ม แข็ง ได้ประชุมกำลังพล มีเป้าหมายแย่งมิถิลานคร

แล้วเคลื่อน กำลังออกไปล้อมมิถิลานคร โดยตั้งค่ายพักแรมอยู่ข้างนอก พวก ทหารเมืองมิถิลาของพระเจ้าอริฏฐชนก พอทราบข่าวว่าพระโปลชนก ยกกำลังทหารมาล้อมกรุงไว้

ส่วนหนึ่งก็พากันแปรพักตร์มาเข้าด้วย โดยขนยุทโธปกรณ์ในการรบมาให้มิใช่น้อย แม้ประชาชนในเมือ มิถิลาเองก็รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ และพากันออกมาเข้าด้วยบางกลุ่ม รวมตัวกันอยู่ในชุมชนต่าง ๆ แสดงเจตจำนงอยู่ข้างผ่ายของพระ โปลชนกก็มี

พระเจ้าโปลชนกทรงใคร่ครวญสถานการณ์แล้วก็เชื่อมั่นว่า จะทำการนี้ได้สำเร็จอย่างแน่นอน ในทางการเมืองการปกครอง ใครกุมหัวใจประชาชนได้ก็ยึดอำนาจได้

ในที่สุด พระเจ้าโปลชน กก็ส่งสาส์นไปถวายพระเชษฐาว่า “ แต่เดิมนั้น ข้าพระองค์มิได้คิด ร้ายต่อพระเชษฐาเลย แต่บัดนี้สถานการณ์บังคับให้ข้าพระองค์

จำต้องนำกำลังมาบีบบังคับพระเชษฐา พระเชษฐาจะยอมยกราชบัล ลังก์ให้แก่ข้าพระองค์แต่โดยดี หรือจะทำสงครามก็ให้ตอบมาอย่า ชักช้า ”

พระเจ้าอริฏฐชนกทรงอ่านสาส์นของพระอนุชาแล้วก็ทรงพระพิ โรธ ทรงตอบสาส์นไปทันทีว่าจะสู้รบจึงตรัสสั่งพระอัครมหาเหสีว่า

“ น้องรัก ในการรบ เราจะแพ้หรือชนะไม่อาจรู้ได้ ถ้าพี่มีอันเป็นไป ขอให้เธอดูแลลูกในท้องให้ดี ” ตรัสฉะนั้นแล้วก็เสด็จกรีฑาทัพออก จากพระนคร ทรงเข้าต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยสามารถ

การสัปประยุทธ์ชิงชัยผ่านได้พักใหญ่ ๆ ท้าวเธอก็พลาดท่า ถูกทหารของพระโปลชนกรุมฟันแทงจนถึงกับสวรรคตในสมรภูมิ ชาวพระนครครั้นทราบว่า

พระพระราชาเสด็จสวรรคตแล้ว ก็เกิดค วามสับสนอลหม่าน จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์โกลาหลขึ้นทั่วไป แต่ไม่ นานเหตุการณ์เหล่านั้นก็สงบลง เมื่อพระโปลชนกนำกำลัง

ทหารเข้า ยึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน เกือบจะทั่วทั้งพระนคร ประชาชนจำนวนมากต่างพากันมากรา บทูลให้พระองค์ขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อไป

ภายหลังจากการอ ภิเษกของพระเจ้าโปลชนกขึ้นเป็นพระราชาแล้ว กรุงมิถิลานครก็ กลับคืนสู่สภาพเดิม มีความสงบสุขนับแต่นั้น

ฝ่ายพระอัครมเหสี เมื่อทรงทราบว่าพระราชสวามีเสด็จ สวรรคตแล้ว ก็ทรงรับจัดแจงสิ่งของสำคัญ มีทองเป็นต้น

บรรจในกระเช้า ปกปิดด้วยผ้าเก่า ๆ เอาข้าวสารใส่ไว้ข้างบน ทรงนุ่งห่ม พระภูษา ( เสื้อผ้า ) เก่า ๆ ปลอมแปลงพระองค์เป็นคนสามัญ ยกกระเช้าไว้บนพระเศียร

เสด็จหนีออกจากพระนครในเวลากลางวัน โดยไม่ปรากฏว่า มีใครจำพระนางได้
พระนางเสด็จออกทางประตูทิศอุดร ทรงดำเนินไปโดยพระบาท เปล่า เสด็จดำเนินไปอย่างไร้จุดหมาย

พระนางทรงไม่รู้จักเส้นทาง ไม่รู้แห่งหนตำบลใด เพราะไม่เคยเสด็จไปที่ไหนมาก่อนเลย

ครั้งเสด็จไปถึงศาลาแห่งหนึ่งทรงดำริว่า เราไม่รู้จักทิศทาง ไม่รู้จะไปทางไหนทิศไหนดี ควรนั่งพักที่ศาลาเพื่อตั้งหลักให้ได้ก่อน แล้วก็เสด็จขึ้นไปประทับนั่งบนศาลา

ทรงดำริที่จะเสด็จไปเมือง กาฬจัมปากะ ทรงคอยดูใครผ่านไปมา เมื่อเห็นหน้าตาเขาไม่น่า กลัวก็จะถามว่า

“เมืองกาฬจัมปากะไปทางไหนหรือ จะมีใครไป เมืองกาฬจัมปากะบ้างไหม ”

การที่พระนางถามถึงเมืองกาฬจัมปากะ มิใช่เพราะอะไรอื่น แต่เพราะเมื่อตอนอยู่ในวังพระนางได้ยินคนเขาพูดถึงเมืองนี้บ่อย ๆ ทำให้ทรงรู้จักแต่เมืองนี้เพียงเมืองเดียวเท่านั้น ไม่ทรงรู้จักเมืองอื่น ๆ อีกเลย

ขณะนั้นพระอินทร์จอมเทวดาผู้ชอบช่วยเหลือมนุษย์ได้ส่องทิพย เนตรลงมามองเห็นทารกในครรภ์ของพระนาง รู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ มาเกิด มิใช่สัตว์ธรรมดา

ก็รู้สึกดีพระทัยที่จะมีผู้มีบุญมาเกิดในโลก มนุษย์ เพราะถ้าโลกมนุษย์มีคนดีเป็นจำนวนมาก ก็จะส่งผลให้สวร รค์มีคนดีไปเกิดมาเช่นกัน จึงรีบเสด็จลงมาจากสวรรค์ไปเพื่อ อำนวยความสะดวกให้แก่พระนาง โดยเนรมิตเกวียนมีที่บัง ศาลา ที่พระนางประทับอยู่แล้ว ทูลถามว่า

“ จะมีใครไปนครกาฬจัมปากะบ้างไหม ”

พระมเหสีทรงได้ยินเช่นนั้นก็ดีพระทัย จึงรีบตรัสย้อนถามว่า

“ ตา ! ตา ! ตาจะไปเมืองกาฬจัมปากะหรือจ๊ะ ”
“ เออ! แม่หนู ตาจะไปเมืองกาฬจัมปากะ ”
“ ฉันก็จะไปเหมือนกัน ตาให้ฉันได้อาศัยไปด้วยคนซิ ” พระม เหสีขอความกรุณา
“ มา ขึ้นมาซิ ในเกวียนมีเตียงให้คนท้องใช้นั่งนอนได้อย่าง สบาย ”

พระมเหสีเสด็จขึ้นไป เห็นข้างในไม่มีอะไรน่ากลัว จึงเข้าไปนั่ง สักพักหนึ่งขณะที่ตาขับเกวียนไป พระนางก็ทรงหลับไปด้วยความ เหนื่อยอ่อน ฝ่ายพระอินทร์ขับเกวียนไปได้สักประมาณ ๓๐ โยชน์

ถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง จึงส่งเสียงปลุกให้ตื่นขึ้น ทูลให้ไปอาบน้ำ โดยมีเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนเตรียมแล้ว พร้อมกับให้พระนางได้ เสวยอาหารว่างที่เตรียมมาแล้วนั้นด้วย

เมื่อเสวยจนอิ่มหนำสำราญแล้วพระนางก็บรรทมต่อ ในขณะที่ ตาแก่ก็ขับเกวียนมุ่งหน้าต่อไป ในที่สุดก็ลุถึงนครกาฬจัมปากะ
ในเวลาเย็น พระมเหสีทอดพระเนตรเห็นประตูรอบกำแพงเมือง ก็เกิดความสงสัยจึงตรัสถามขึ้น

“ ตาจ๋า ! นี่เมืองอะไรจ๊ะ ? ”
“ อ้าว ! ก็เมืองกาฬจัมปากะไงล่ะ ” ตาแก่ทูลตอบ
“ ใช่รึ ฉันได้ยินมาว่าเมืองกาฬจัมปากะอยู่ไกลจากนี้ตั้ง ๖๐ โยชน์มิใช่หรือ ”

“ ถูกต้องแล้ว แต่ตามาทางตรงนี้มันก็ถึงเร็วนะซิ ”

ทูลดังนั้นแล้ว ตาแก่ก็จอดเกวียนทูลให้พระมเหสีเสด็จลง บ้า นของตาอยู่ข้างหน้านี้เอง ขอให้แม่หนูเดินทางเข้าสู่พระนครเถิด ว่าแล้วก็ทำเป็นเดินไปข้างหน้าหน่อยหนึ่ง

แล้วก็หายตัวกลับขึ้นสวร รค์ไป ฝ่ายพระมเหสีเห็นศาลาอยู่ริมทาง จึงเสด็จขึ้นไปประทับนั่งพัก ผ่อนหน่อยหนึ่ง ก่อนที่จะสู้ชะตาชีวิตต่อไป

ขณะนั้นได้มีพราหมณ์ ทิศาปาโมกข์พร้อมด้วยลูกศิษย์ประมาณ ๕๐๐ คน เดินผ่านมาทาง นั้นเพื่ออาบน้ำ ได้มองดูพระนางก็รู้สึกรักใคร่ในฐานะน้องสาว

จึงสั่งให้ลูกศิษย์ทุกคนรออยู่ข้างล่างก่อน ส่วนตัวอาจารย์ก็ขึ้นไป บนศาลาเพียงผู้เดียว แล้วถามพระมเหสีว่า

“ น้องหญิง ! เธอเป็น คนบ้านไหนรึ ? ”
พระมเหสีตรัสตอบตามจริงว่า
“ คุณพ่อคะ ! ดิฉันเป็นพระมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนกแห่งมิถิลานคร ”
“ แล้วพระมเหสีมาที่นี่ทำไม ? ” พราหมณ์ทิศาปาโมกข์ทูลถาม
“ พระเจ้าอริฏฐชนกถูกพระโปลชนกปลงพระชนม์ ดิฉันจึงลี้ภัย การเมืองมาที่นี่เพื่อจะรักษาลูกในท้องไว้ ”
“ ในเมืองนี้มีพระญาติบ้างหรือเปล่า ”
“ ไม่มีสักคนเลยค่ะ ”

“ ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าอุทิจพราหมณ์มหาศาลเป็นอาจารย์ทิศา ปาโมกข์ จะขอรับพระนางไว้ในฐานะน้องสาว จะปฏิบัติดูแลขอให้ ปลอดภัยมีสุข ขอให้เธอเรียกข้าพเจ้าว่าพี่ชาย แล้วจับเท้าของข้า พเจ้า พร้อมกับทรงคร่ำครวญให้ดัง ๆ เถิด ”

พระเทวีเข้าใจความหมายของคำพูดพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ แล้ว ก็ทรงส่งเสียงดังทอดพระองค์ลงจับเท้าของพราหมณ์ ทั้งสอง ต่างส่งเสียงร้องคร่ำครวญ จนพวกลูกศิษย์ได้ยินจึงพากันวิ่ง่ขึ้นไป บนศาลา

ถามว่า “ เกิดอะไรขึ้นหรือท่านอาจารย์ ”
พราหมณ์ทิศาปาโมกข์ตอบว่า

“ ศิษย์ทั้งหลาย ! หญิงคนนี้ เป็นน้องสาวของอาจารย์ที่พลัดพรากจกกันไปตั้งนานแล้ว ”

พวกลูกศิษย์กล่าวขึ้นพร้อมกันว่า

“ เมื่อท่านทั้งสองได้พบกัน ก็เป็นการดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องวิตกเลย ”

จากนั้นอาจารย์ก็สั่งให้ลูกศิษย์ประคองพระมเหสีไปขึ้นรถ ซึ่ง ปกปิดมิดชิดดี พร้อมกับสั่งให้ลูกศิษย์ให้บอกนางพราหมณีภริยา ของตนว่า พระนางเป็นน้องสาวของตน ทั้งนี้เพื่อปกปิดความลับ ของพระนางมิให้แพร่งพรายไปนั่น

เมื่อไปถึงเรือนเหย้า อาจารย์ก็นำพระมเหสีไปแนะนำให้พระ ญาติได้รู้จัก และบอกให้นางพราหมณี จัดหาน้ำอุ่นให้พระนางสรง สนาน จัดหาน้องบรรทมให้

แม้พราหมณ์ทิศาปาโมกข์ก็ไปอาบน้ำ เหมือนกัน เสร็จแล้วก็กลับมาสู่เรือน พอได้เวลาอาหารก็สั่งให้เชิญ พระนางมาบริโภค โดยใช้คำว่าไปเชิญน้องสาวของเรามาด้วยทุก

คนในครอบครัวต่างพากันเอาใจใส่พระนางในการกินการอยู่ ให้ ความรักความสนิทสนมดุจดังน้องของพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ทีเดียว

เมื่อพระนางมีพระครรภ์แก่เต็มที่แล้ว ก็ประสูติพระโอรสมีพระ ฉวีวรรณผุดผ่องดุจทองคำ ได้ตั้งพระนามให้ว่า พระมหาชนกกุมาร ตามพระนามของพระเจ้าปู่

พระมหาชนกกุมารเจริญวัยแล้ว ก็ทรงเล่นอยู่กับพวกเด็ก ๆ หลายคน บางทีถูกเด็กบางคนรบกวนทำให้ขัดเคืองพระทัย จึงทุบ ตีเด็กพวกนั้นให้ส่งเสียงร้องอื้ออึงไปบ้าง

รออ่านต่อนะคะ

แม่ชี ทศพร วชิระบำเพ็ญ