อานุภาพแห่งนิโรธสมาบัติของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ใครได้ทำบุญด้วยจะได้รับกุศลผลบุญมหาศาล

ฝ่ายภรรยาของท่านเศรษฐี คิดว่า

“เมื่อสามีของเราไม่ได้รับประทาน เราก็ไม่อาจจะรับประทานได้”

จึงถวายส่วนของตัวเองแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาว่า

“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ตั้งแต่บัดนี้ไป ขอดิฉันอย่าพึงประสบกับฉาตกภัยเห็นปานนี้อีกเลย อนึ่ง

เมื่อดิฉันวางถาดภัตไว้ข้างหน้า ให้ภัตแก่ชาวชมพูทวีปทั้งหมด ตราบใดที่ดิฉันยังไม่ลุกขึ้น ขอภัตที่ดิฉันตักแล้ว จงเต็มบริบูรณ์ดุจเดิมตราบนั้น

เกิดกี่ภพกี่ชาติ ท่านผู้นี้ จงเป็นสามี ผู้นี้จงเป็นบุตร ผู้นี้จงเป็นหญิงสะใภ้ และผู้นี้จงเป็นทาสของดิฉัน”

ลูกชายเศรษฐี พอเห็นพ่อแม่ทำเป็นต้นแบบอย่างนั้น ก็เกิดกำลังใจอยากทำความดีตาม

ซึ่งในใจก็มีความเลื่อมใสในพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่แล้ว จึงถวายส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า

จากนั้นก็ตั้งความปรารถนาเหมือนที่พ่อแม่อธิษฐาน จะแปลกกันอยู่ตรงที่ว่า

“เมื่อข้าพเจ้าถือถุงกหาปณะหนึ่งพัน แม้ให้กหาปณะแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นอยู่ ขอถุงนี้จงเต็มอยู่อย่างเดิม”

     ฝ่ายลูกสะใภ้ของเศรษฐี ก็ได้ถวายส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน และตั้งความปรารถนาว่า

“เมื่อดิฉันตั้งกระบุงข้าวเปลือกกระบุงหนึ่งไว้ข้างหน้า แม้ให้ภัตแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ความหมดสิ้นไปอย่าได้ปรากฏ จนกว่าดิฉันจะเลิกให้”   

 แม้ทาสของเศรษฐีก็มีใจใหญ่ ยอมที่จะอดตายเหมือนเช่นกับเจ้านาย แต่จักไม่ยอมให้พระท่านต้องอดฉัน

จึงถวายส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า จากนั้นจึงตั้งความปรารถนาที่จะขออยู่กับเจ้านายไปทุกภพทุกชาติ และอธิษฐานจิตว่า

“เมื่อข้าพเจ้าไถนา ขอให้สามารถไถได้เร็วเป็นพิเศษ คือ รอย ๗ รอยประมาณเท่าเรือโกลน ซ้าย-ขวาด้านละ ๓ รอย และตรงกลางอีก ๑ รอย จงบังเกิดขึ้น”

  อันที่จริงแล้ว ด้วยผลบุญแห่งการถวายทานครั้งนั้น หากนายปุณณะปรารถนาตำแหน่งเสนาบดี ก็สามารถจะได้ในวันนั้น

แต่เนื่องจากมีความรักในเจ้านายมาก เลยตั้งความปรารถนาว่า

“ขอให้ได้เป็นคนรับใช้ของเศรษฐีไปทุกภพทุกชาติ”

เมื่อทุกคนอธิษฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงกระทำอนุโมทนา
ในการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของทุกๆ
คนที่รักบุญยิ่งกว่าชีวิต

แล้วท่านจึงเหาะขึ้นไปสู่ท้องฟ้า โดยบันดาลให้ทุกคนได้เห็นท่านเหาะกลับไปภูเขาคันธมาทน์ และจัดแบ่งภัตให้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์

ด้วยอานุภาพของพระปัจเจกพุทธเจ้า ภัตนั้นสามารถแบ่งได้ทั่วถึงแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าหมดทั้ง ๕๐๐ องค์

เศรษฐีและทุกคนในครอบครัวได้เห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น ยิ่งปีติดีใจว่า ตนเองได้ถวายทานถูกเนื้อนาบุญแล้ว  

เมื่อท่านเศรษฐีและครอบครัวได้ทำบุญถูกอู่แห่งทะเลบุญ ผลบุญอัศจรรย์จึงบังเกิดขึ้น

แต่ท่านไม่รู้ว่าบุญจะเกิดให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง ถึงอย่างไรก็ปีติดีใจที่ได้ถวายทานถูกเนื้อนาบุญ เพราะฉะนั้นเมื่อเที่ยงวันล่วงไปแล้ว

ท่านยังไม่ได้รับประทานอาหาร ถูกความหิวเข้าครอบงำหนักเข้า จึงนอนหลับไป ฝ่ายภรรยาเศรษฐีล้างหม้อข้าวแล้วปิดฝาวางไว้ในครัว

ยามเย็นพอเศรษฐีตื่นขึ้นมา ก็ถามว่า
“นางผู้เจริญ ฉันหิวเหลือเกิน ข้าวตังก้นหม้อมีเหลืออยู่บ้างไหม?”

ทั้งๆ ที่ภรรยาเศรษฐีล้างหม้อมากับมือ แต่เพื่อความมั่นใจ และสบายใจของท่านเศรษฐี จึงได้ลุกเดินเข้าไปในครัวเปิดฝาหม้อออกดู

ในขณะนั้นเอง ฝาหม้อก็ถูกข้าวสวยมีสีเหมือนดอกมะลิตูมดันออกมาจนล้นปากหม้อ 

ภรรยาเมื่อเห็นเช่นนั้น จึงเกิดปีติขนลุกชูชันไปทั้งตัว รีบร้องเรียกสามีให้มาดูผลแห่งการทำทาน

เพราะยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง พร้อมกับอุทานด้วยความเบิกบานใจว่า

“ขึ้นชื่อว่าบุญทั้งหลายควรกระทำ ชื่อว่าทานควรจะให้”

จากนั้นนางได้จัดอาหารให้ทุกคนได้รับประทานด้วยความปีติเบิกบานใจ
 
และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้นคือ จะตักข้าวอย่างไร ข้าวก็ไม่พร่องไปเลย ยังคงเต็มหม้ออยู่เหมือนเดิม

ในวันนั้นยุ้งฉางซึ่งว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยข้าวเปลือกและพืชพันธุ์ธัญญาหารเหมือนเดิม

ฝนฟ้าก็ตกลงมาให้ความชุ่มฉ่ำเย็นแก่คนทั้งเมือง

ชาวเมืองเมื่อทราบข่าวก็ได้หลั่งไหลมารับเอาภัตและพันธุ์พืชจากบ้านของท่านเศรษฐี ชาวชมพูทวีปทั้งหมดอาศัยบุญของท่านเศรษฐี

จึงดำรงชีพอยู่อย่างมีความสุขจนตลอดชีวิต

ฝ่ายเศรษฐี และครอบครัว เมื่อได้ทำบุญจนตลอดชีวิตแล้ว ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลก และมนุษยโลกเท่านั้น

ในสมัยพุทธกาล ท่านได้บังเกิดในสกุลเศรษฐีในภัททิยนคร ภรรยาบังเกิดในตระกูลเศรษฐีเหมือนกัน

เมื่อเจริญวัยแล้วได้แต่งงานกัน แยกครอบครัวออกจากบิดามารดาไปสร้างบ้านเรือนอยู่ต่างหาก

แพะกายสิทธิ์ ดังที่ได้เคยนำมากล่าวไว้เมื่อครั้งก่อน ได้ดุนหลังกันผุดขึ้นที่หลังบ้านของท่านเศรษฐี ลูกชาย ลูกสะใภ้ และคนใช้ที่

เคยอธิษฐานจิตจะมาเกิดร่วมกัน ก็ได้มาอยู่ร่วมกันในภพชาตินี้อีก

ต่อมาวันหนึ่ง ท่านเศรษฐีอยากจะทดลองบุญของตน จึงให้ชำระฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง 

ส่วนตัวเองเมื่อชำระล้างกายแล้วนั่งที่ประตู แหงนดูเบื้องบนอากาศ

ฉางทั้งหมดก็เต็มด้วยข้าวสาลีแดงอย่างน่าอัศจรรย์ เศรษฐีได้บอกให้ทุกคนได้ทดลองบุญของตัวเองดูบ้าง

ภรรยาของเศรษฐีจึงเริ่มด้วยการใช้ให้คนตวงข้าวสาร นำไปหุงเพียงหม้อเดียว

แล้วถือเดินออกไปนั่งที่ซุ้มประตู เอามือถือทัพพีทองคำแล้วประกาศว่า

“ผู้มีความต้องการภัตจงมารับเอาตามความชอบใจเถิด”

จากนั้นนางก็ตักข้าวให้จนเต็มภาชนะของคนที่ทยอยกันมาขอ เมื่อนางให้อยู่ทั้งวัน ข้าวไม่มีพร่องเลย และด้วยความที่นางจับหม้อด้วยมือซ้าย มือขวาจับทัพพี

ถวายภัตจนเต็มบาตรของภิกษุสงฆ์ ทำให้
ปทุมลักษณะเกิดเต็มฝ่ามือข้างซ้าย
จันทลักษณะเกิดเต็มฝ่ามือข้างขวา
ฝ่าเท้าด้านซ้ายของนางก็เกิดปทุมลักษณะ
ฝ่าเท้าด้านขวาก็เกิดจันทลักษณะ
เพราะเที่ยวเดินถวายน้ำฉันแด่ภิกษุสงฆ์ พวกญาติจึงขนานนามว่า

จันทปทุมา

ฝ่ายลูกชายเศรษฐีชำระล้างร่างกายแล้ว ก็ถือเอาถุงกหาปณะพันหนึ่ง ประกาศว่า

“ผู้มีความต้องการกหาปณะ จงพากันมารับไปเถิด”

แล้วได้ยืนแจกจ่ายออกไป กหาปณะพันหนึ่งก็ยังคงอยู่ในถุงเหมือนเดิม ไม่มีท่าทีว่าจะพร่องไปเลย

ลูกสะใภ้ของเศรษฐีก็ทดลองบุญของตน ด้วยการถือเอากระบุงข้าวเปลือก นั่งแจกข้าวเปลือกจนเต็มภาชนะของคนที่มารับไป ถึงกระนั้นกระบุงข้าวเปลือกก็ยังคงเต็มอยู่ตามเดิม

ส่วนทางด้านคนรับใช้ของเศรษฐี ได้เทียมโคด้วยแอกทองคำ เชือกก็เป็นทองคำ
ถือด้ามปฏักทองคำ สวมปลอกทองคำใส่ที่เขาโค แล้วขับไปสู่ทุ่งนา

เมื่อเริ่มไถ รอย ๗ รอยคือ

“ข้างซ้าย ๓ รอย ข้างขวา ๓ รอย ตรงกลาง ๑ รอย”

ได้ชำแรกแผ่นดิน ทำให้สามารถไถนาเสร็จได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว การงานสำเร็จเป็นอัศจรรย์

ชาวชมพูทวีปได้ทราบข่าว แล้วต่างก็หลั่งไหลมารับเอาเงิน ทอง กหาปณะ และเมล็ดพันธุ์พืชจากครอบครัวท่านเศรษฐีอย่างไม่ขาดสาย

 แพะกายสิทธิ์ได้ดุนหลังกันผุดขึ้นที่หลังบ้านของท่านเศรษฐี และทุกคนในครอบครัวต่างได้สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง

จึงทำให้ชื่อเสียงของท่านเศรษฐีเป็นที่เลื่องลือ ความทราบถึงพระเจ้าพิมพิสารราชาแห่งแคว้นมคธ

พระองค์ประสงค์จะทราบถึงข้อเท็จจริง จึงรับสั่งให้มหาอำมาตย์ไปตรวจสอบ

     มหาอำมาตย์รับพระบรมราชโองการแล้ว ก็ยกขบวนเสนา ๔ เหล่า เดินทางไปยังภัททิยนคร เมื่อไปถึงก็เข้าไปหาเมณฑกคหบดี

ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และได้ขอดูอานุภาพของท่านเศรษฐี เมณฑกเศรษฐีก็ไม่ขัดข้อง หลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จแล้ว จึงสั่งให้คนงานทำฉางข้าวให้ว่างเปล่า

แล้วนั่งอยู่นอกประตูฉาง แหงนดูเบื้องบน ท่อธารข้าวเปลือกได้ตกลงมาจากอากาศจนเต็มฉาง มหาอำมาตย์เห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น ก็สรรเสริญว่า

“บุญญานุภาพของท่านเศรษฐี ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว ทีนี้ ข้าพเจ้าขอชมอานุภาพของภรรยาท่านบ้าง”

     เมณฑกคหบดีจึงบอกภรรยาว่า

“ถ้าเช่นนั้น เธอจงจัดเลี้ยงแก่เสนาทั้ง ๔ เหล่าให้อิ่มหนำสำราญ”

ขณะนั้น ภรรยาได้นั่งใกล้หม้อข้าวสุกเพียงใบเดียวกับหม้อแกงหม้อหนึ่งเท่านั้น

แล้วตักอาหารแจกแก่เสนาทั้ง ๔ เหล่าด้วยมือของตัว อาหารนั้นมิได้หมดสิ้นไปตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากที่
พวกเหล่าเสนาที่ยกขบวนกันมาจำนวนมาก ต่างก็อิ่มอร่อยในอาหารอันโอชะของนาง มหาอำมาตย์สรรเสริญว่า

“ท่านคหบดี บุญญานุภาพของภรรยาท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว ทีนี้ ขอชมบารมีของลูกชายท่านบ้าง”

เมณฑกคหบดีจึงบอกลูกชายว่า
“เจ้าจงแจกกหาปณะแก่เสนาทั้ง ๔ เหล่าเถิด”

ลูกชายท่านคหบดีถือถุงเงินหนึ่งพันกหาปณะเพียงถุงเดียวเท่านั้น แจกอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ไม่หมดถุง 

จากนั้นท่านมหาอำมาตย์ได้ขอดูอานุภาพของลูกสะใภ้ท่านเศรษฐี หญิงสะใภ้ก็นั่งใกล้กระเฌอซึ่งจุข้าวได้ ๔ ทะนาน

เพียงใบเดียวเท่านั้น นางแจกข้าวเปลือกแก่เสนาทั้ง ๔ เหล่า ข้าวเปลือกซึ่งเป็นธัญญพืชที่แจกไป ตราบใดที่นางยังไม่ลุกจากที่ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหมดสิ้นไป

มหาอำมาตย์ชื่นชมอานุภาพของลูกสะใภ้แล้ว ปรารถนาอยากจะเห็นอานุภาพของทาสที่ชื่อปุณณะต่อไป

ท่านเศรษฐีได้ตอบไปว่า

“ทาสของข้าพเจ้าไถนาเพียงร่องเดียว สามารถแตกออกเป็น ๗ รอย แต่อานุภาพของทาสข้าพเจ้านั้น ท่านต้องไปชมที่นา”

มหาอำมาตย์บอกว่า

“ไม่ต้องแล้วล่ะ ท่านคหบดี ข้าพเจ้าทราบถึงอานุภาพของทาสท่านแล้ว”

หลังจากพิสูจน์อานุภาพบุญของแต่ละคนในครอบครัวของท่านเศรษฐีแล้ว มหาอำมาตย์พร้อมเสนา ๔ เหล่า

ก็พากันเดินทางกลับไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบทุกประการ พระราชาจึงส่งฉัตรเศรษฐีไปมอบให้ และแต่งตั้งให้เป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง

อานุภาพแห่งนิโรธสมาบัติของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
ใครได้ทำบุญด้วยจะได้รับกุศลผลบุญมหาศาล

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ