วันวิสาขบูชา ตอนที่ ๑๑ ลำดับญาณการตรัสรู้
เมื่อพระโพธิสัตว์เอาชนะพญามารพร้อมเสนามาร จนพ่ายแพ้ราบคาบ พระองค์จึงทรงบำเพ็ญเพียรต่อ
ครั้นล่วงเข้า ปฐมยาม ยามแรกแห่งคำ่คืน จึงทรงบรรลุญาณที่ ๑ ชื่อว่า “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” ญาณเครื่องระลึกถึงชาติก่อนได้ คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถระลึกชาติในอดีตหนหลังได้ตั้งแต่ ๑ ชาติ ๑๐ ชาติ ๑,๐๐๐ ชาติ ๑๐๐,๐๐๐ ชาติเรื่อยไป จนนับชาติไม่ถ้วน โดยทรงรู้อย่างแจ้งประจักษ์ว่า ในชาตินั้นพระองค์เกิดในประเทศนั้น มีชื่อและโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณ และมีอาหารอย่างนั้น ได้ทรงเห็นพระองค์เองจุติจากชาตินั้นไปเกิดในชาติโน้น จุติจากชาติโน้นมาเกิดในชาตินี้ แต่ทรงเฝ้าตายเกิดอยู่อย่างนี้หลายชาติหลายภพ
ทุกชาติที่เกิดล้วนมีแต่ความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปรไป เกิดแล้วต้องแก่ เจ็บ ตาย ต้องพบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ต้องพลัดพรากจากส่ิงเป็นที่รัก ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดได้เลย ไม่สามารถยึดถือสิ่งใดเป็นของตัวเองได้
จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป การเกิดทุกชาติมีแต่ความทุกข์รำ่ไป
ครั้งล่วงเข้า มัชฌิมยาม ยามกลางแห่งคำ่คืน พระองค์ก็ได้บรรลุญาณที่ ๒ ชื่อว่า “จุตูปปาตญาณ” ญาณเครื่องรู้แจ้งในจุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียกอีกอย่างว่า ทิพพจักขุญาณ คือในขณะนี้พระองค์ทรงสามารถเห็นสัตว์ทั้งหลาย
ที่กำลังจุติตายไปและกำลังอุบัติเกิดขึ้นใหม่ในโลกทั้งหลาย โดยทรงเห็นอย่างแจ้งประจักษ์ ด้วยอำนาจ ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์วิเศษกว่าสามัญมนุษย์จักษุวิสัยว่า สัตว์ทั้งหลายได้พากันล้มตายลงไปแล้ว ต่างผู้ต่างก็ไปเกิดในสภาพต่างๆ กัน เลวบ้าง ประณีตบ้าง มีผิวพรรณงามบ้าง ไม่งามบ้าง ถึงซึ่งความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แตกต่างกันไป ตามสมควรแก่กรรมแห่งตนที่ได้กระทำไว้
สัตว์ทั้งหลายที่เวียนตายเวียนเกิด เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปรตลอดเวลา เป็นทุกข์ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ เป็นสภาพที่ไม่มีตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่สามารถที่จะยึดถือผูกพันได้เลย ทำให้พระองค์เข้าใจได้อย่างแจ้งชัดว่า ทั้งพระองค์เองและสัตว์อื่นเกิดมาแล้ว ต้องพบกับภัยใหญ่คือทุกข์ จึงทำให้พระองค์เกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยึดถือผูกพัน
ครั้นล่วงเข้า ปัจฉิมยาม ยามสุดท้ายแห่งคืนวันวิสาขะ ทรงบรรลุญาณที่ ๓ ชื่อว่า “อาสวักขยญาณ” หมายถึง ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ ความตรัสรู้ เป็นผลให้พระองค์ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่นดินจึงสะเทือนเลื่อนลั่น หวั่นไหว เกิดขนพองสยองเกล้า เหตุเพราะรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ พออรุณขึ้น พระองค์จึงทรงเปล่งพระอุทานเป็นครั้งแรกนับจากได้ตรัสรู้ เรียก “ปฐมพุทธภาษิต” ความว่า
“เมื่อเรายังไม่พบญาณ ได้แล่นท่องเที่ยวไปในสงสาร เป็นอเนกชาติ
แสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างปลูกเรือน คือตัวตัณหาผู้สร้างภพ การเกิดทุกคราว เป็นความทุกข์ร่ำไป
นี่แน่ะ ! นายช่างปลูกเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป โครงเรือนทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนของเราก็รื้อทิ้งเสียแล้ว จิตของเรา ถึงแล้วซี่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป เราได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นแห่งตัณหา (คือความพ้นทุกข์จากการไม่เกิดในภพใดอีก)”
แม่ชี ทศพร วชิระบำเพ็ญ