ประวัติโฆสกเศรษฐี
นายโกตุหลิกะทิ้งลูกตอนที่๑
เมื่อเกิดอหิวาตกโรค
ใน “แคว้นอัลลปกัปปะ”
ชายผู้หนึ่งชื่อว่า “โกตุหลิกะ” จึงปรึกษาภรรยาผู้มีบุตรอ่อนชื่อ “นางกาลี”
ว่า “เราอย่าอยู่ในที่นี้เลย”
จึงเตรียมเสบียงอาหารเดินทาง
ไปเมืองโกสัมพี
ต่อมาเสบียงหมด เพราะเดินทางลำบาก
จนผัวบอกกับเมียว่า
“ลูกเรานี้ทิ้งเสียเถิด เรามีชีวิตอยู่ก็จะมีลูกอีกได้”
เมียกล่าวว่า
“ไม่อาจทิ้งได้ ลูกเหมือนดวงใจฉัน
เราจะเปลี่ยนกันอุ้มไปเถิด”
เวลาเมียอุ้ม ได้กอดลูกไว้กับอกประคับประคองเหมือนพวงดอกไม้
เมื่อผัวอุ้มก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ขณะที่เมียเผลอจึงวางลูกไว้บนใบไม้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง
พอเมียรู้เข้าจึงวิ่งกลับไปทันทีด้วยความห่วงลูกอย่างสุดซึ้ง
เมื่อมาถึงปรากฏว่าลูกได้ตายเสียแล้ว ด้วยความเหนื่อยอ่อน
เมียร้องไห้คิดถึงลูกด้วยความรักสงสารอย่างจับใจประดุจว่าน้ำตาจะเป็นสายเลือด ผัวพูดปลอบโยนเมียว่า
“เธออย่าร้องไห้เลย ทำอย่างไรลูกก็ไม่ฟื้น เราเดินทางต่อไปเถิด! เรามีชีวิตอยู่ก็จะมีลูกอีก”
คนพาลคิดเพียงเท่านั้น
เมื่อเดินทางถึงเมืองโกสัมพี นายโคบาลกำลังทำมงคลแก่โคของเขา โดยนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันอาหาร สองผัวเมียได้เข้าไปบ้านนี้คิดว่า
“เมื่อเขาทำบุญแล้วก็คงจะทำทานบ้าง?”
เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าฉันข้าวมธุปายาสเรียบร้อยและกล่าวอนุโมทนาแล้ว นายโคบาลก็รับประทานข้าวมธุปายาส
และให้ข้าวมธุปายาสแก่สุนัขตัวเมียตัวหนึ่งของเขาที่นอนอยู่ใต้ตั่ง นายโกตุหลิกะเห็นดังนั้นก็นึกในใจว่า
“สุนัขตัวนี้มีวาสนาดีหนอ! มันได้กินข้าวมธุปายาสอย่างเอร็ดอร่อยและอยู่บนบ้านอย่างสบาย เราเป็นคนแต่กลับหิวโหยเหลือเกิน! ยังไม่ได้กินข้าวมธุปายาสเหมือนสุนัขตัวนี้”
นายโคบาลเมื่อรับประทานเสร็จแล้ว ก็จัดข้าวมธุปายาสให้แก่สองผัวเมียจำนวนมาก เพราะเห็นว่ากำลังหิวโหย นางกาลีรับประทานข้าวมธุปายาสพอสมควร
แบ่งให้ผัวรับประทานมาก เพราะเห็นว่าหิวมาหลายวัน นายโกตุหลิกะทานอาหารมากเกินไป อาหารไม่ย่อย ก็สิ้นใจตายในคืนวันนั้น
ด้วยจิตจดจ่อว่าสุนัขตัวนี้ดีนะได้อยู่อย่างสบาย จึงไปปฏิสนธิในท้องสุนัขตัวนั้น
นางกาลีเผาศพของสามี แล้วรับจ้างทำงานที่บ้านนายโคบาล ได้ข้าวสารและกับข้าวพอสมควร จึงได้หุงข้าวถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วอุทิศส่วนกุศลให้สามี นางคิดว่า
“บ้านนี้มีพระมาทุกวัน เรารับจ้างทำงานที่บ้านนี้ได้ค่าจ้างแล้ว จะได้ถวายอาหารแก่พระปัจเจกพุทะเจ้าและจะได้อุทิศส่วนกุศลให้แก่สามี”
คิดเช่นนี้แล้ว นางจึงได้ตัดสินใจรับจ้างทำงานที่บ้านนี้ตลอดมา
สุนัขตัวนั้นออกลูกเป็นตัวผู้ตัวเดียว
นายโคบาลรักมากให้กินนมของแม่มันแล้วยังให้กินนมโคอีก
พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้ามาฉันอาหารที่บ้าน
ก็ให้ข้าวมันปั้นหนึ่ง มันโตเร็วมากและ
รักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก มันจะตามนายโคบาลที่ออกไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่บรรณศาลาทุกวัน มันจะนอนหมอบใกล้ๆ กระดิกหาง
ฟังนายโคบาลคุยกับพระปัจเจกพุทธเจ้า เหมือนกับรู้ภาษามนุษย์
วันหนึ่ง นายโคบาลไม่มีเวลาว่าง จึงให้มันไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้ามาที่บ้าน มันรีบวิ่งไปโดยเร็ว พอถึงบรรณศาลามันเห่าอยู่หน้าบรรณศาลา
พระปัจเจกพุทธเจ้าออกมาดูนึกว่านายโคบาลมาหา เห็นแต่สุนัข ท่านก็กลับเข้ากุฏิ มันยิ่งเห่าใหญ่
พระปัจเจกพุทธเจ้าคิดว่า
“นายโคบาลคงให้มันมาตาม”
จึงห่มจีวร มันดีใจมากทำท่าวิ่งกลับ ท่านเดินตามมันไป ท่านคิดว่า
“นายโคบาลให้มาตามเราจริงไหมหนอ?”
ท่านจึงทดลองเดินแยกไปทางอื่น ไม่ไปทางบ้านของนายโคบาล แต่สุนัขกลับไปยืนขวางหน้าเห่าไม่ยอมให้ท่านไปทางนั้น
เมื่อท่านเดินต่อมันก็คาบจีวรดึงกลับมา ท่านจึงเดินตามมัน มันมีท่าทางดีใจมาก รีบวิ่งออกหน้ามาถึงบ้าน
นายโคบาลออกมาต้อนรับ ปูอาสนะให้ท่านนั่งแล้วกล่าวว่า
“ได้การละ! ผมให้มันไปนิมนต์ท่าน มันไปนิมนต์ได้มาแล้ว วันต่อไปถ้าผมไม่มีเวลาไปหาท่าน ผมก็จะให้มันไปนิมนต์ท่าน”
กาลต่อมา พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้พ้นทุกข์ภัยทั้งปวง บอกนายโคบาลว่า
“จีวรเก่าแล้วต้องทำจีวรใหม่”
ซึ่งท่านไม่อาจทำคนเดียวได้ จึงต้องไปทำที่ภูเขาคันธมาทน์
สุนัขฟังนายโคบาลคุยกับพระปัจเจกพุทธเจ้า และมันรู้ว่าท่านจะจากมันไป มันอาลัยนัก! คอยดูอยู่ว่าท่านจะไปเมื่อไร?
วันหนึ่ง เมื่อท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว นายโคบาลได้ถวายผ้าขาวพับหนึ่งเพื่อทำจีวร เมื่อท่านรับแล้วก็ลานายโคบาล
เดินออกจากบ้านเหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์สุนัขแลดูท่านแล้วก็หอนด้วยความอาลัยรักอย่างยิ่ง! พอท่านลับสายตา
มันก็ขาดใจตายด้วยความรักและความอาลัยในพระเมตตาของพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก
เนื่องจากจิตเป็นกุศล จึงได้เกิดเป็นเทพบุตรชั้นดาวดึงส์ มีนางเทพอัปสร ๑ พันเป็นบริวาร ได้เสวยสมบัติใหญ่ เพราะเป็นสัตว์ที่ซื่อตรง เทพบุตรกระซิบเบาๆ เสียงดังไป ๑๖ โยชน์
ถ้าพูดธรรมดาเสียงจะกลบเทพนครทั้งสิ้น ด้วยอานิสงส์การเห่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความรัก เทพบุตรตนนี้จึงได้ชื่อว่า
“โฆสกเทพบุตร”
เขาเสวยทิพยสมบัติได้ไม่นาน ก็จุติเพราะความสิ้นไปของกุศลได้ไปเกิดในท้องของหญิงโสเภณีในนครโกสัมพี
ขอย้อนมากล่าวถึงนางกาลี ภรรยาของนายโกตุหลิกะ ได้ถวายทานแก่พระอริยะบุคคลพระปัจเจกพุทธเจ้าเสมอ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างจริงใจ เมื่อสิ้นอายุแล้ว เกิดเป็นลูกสาวเศรษฐีในชนบทเมืองโกสัมพี
ถูกทิ้งครั้งที่ ๑
หญิงโสเภณีที่โฆสกเทพบุตรมาปฏิสนธิ ได้คลอดลูกชายในเวลากลางคืน แล้วถูกนำไปทิ้งที่กองขยะเพราะ
“ธรรมดาของหญิงโสเภณีจะไม่เลี้ยงลูกชาย”
สุนัขบ้าง? กาบ้าง? ไม่เข้ามาทำอันตรายทารก เพราะอานิสงส์ที่เขารัก ในพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงธรรมอันเลิศสุดประเสริฐ
หญิงคนหนึ่งไม่มีลูก เห็นทารกในกองขยะคิดว่า
“ใครหนอเอาทารกมาทิ้ง? คงจะเกิดเมื่อคืนนี้เอง! เป็นผู้ชายด้วย”
จึงเกิดความรักเหมือนลูกและนำไปเลี้ยงไว้
วันนั้น
เศรษฐีชาวเมืองโกสัมพีเข้าไปเฝ้าพระเจ้ากรุงโกสัมพีแต่เช้า พบปุโรหิตจึงถามว่า
“ท่านอาจารย์ได้ตรวจดาวที่จะให้เกิดเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายแล้วหรือ?”
ปุโรหิตกล่าวว่า
“สิ่งอื่นนั้นไม่มีท่านมหาเศรษฐี แต่เด็กที่ได้มาเกิดเมื่อคืนนี้ จะได้เป็นเศรษฐีในเมืองนี้”
ขณะนั้นภรรยาของเศรษฐีมีครรภ์แก่ สงสัยว่าภรรยาของเราคลอดเมื่อคืนนี้หรือเปล่า?
จึงให้คนใช้ไปบ้านดูก็รู้ว่ายังไม่คลอด เศรษฐีร้อนใจมาก! สงสัยว่าใครจะมาเป็นเศรษฐีแทนลูกของเรา?
จึงให้คนใช้ชื่อกาลีมาหา และให้ทรัพย์หนึ่งพันกหาปนะแล้วสั่งว่า
“เธอจงไปนำเด็กที่เกิดเมื่อคืนนี้มา”
นางกาลีถามหาจนพบทารกที่กองขยะ จึงขอซื้อเด็กมาให้เศรษฐี เขาเห็นเด็กหน้าตาดี ผิวพรรณดี คิดว่า
“ถ้าลูกของเราเกิดเป็นหญิงจะให้แต่งงานกับผัวเป็นเศรษฐี เมียก็เป็นเศรษฐีเหมือนกัน ไม่มีปัญหา ถ้าลูกเราเกิดเป็นชายจะต้องฆ่าเด็กคน
นี้เสีย! เพราะเด็กจะแย่งตำแหน่งเศรษฐีลูกของเรา!” จึงเลี้ยงเด็กคนนั้นไว้ก่อน
ถูกทิ้งครั้งที่ ๒
ต่อมาลูกของเศรษฐีคลอดมาเป็นผู้ชาย จึงสั่งนางกาลีว่า
“ให้นำเด็กนี้ไปนอนไว้ที่ปากคอกโค ที่บ้านคนที่เขาเลี้ยงโคจำนวนร้อยๆ เจตนามุ่งหมายอย่างแรงกล้า เพื่อให้โคเหยียบเด็กคนนี้ให้ตายเสีย แล้วให้ดูจนรู้ว่าเด็กคนนี้ตายหรือไม่?”
นางกาลีทำตามคำสั่งทุกประการ
พอนายโคบาลเปิดประตู โดยปกติ
โคอสุภะ ซึ่งเป็นนายฝูงจะออกภายหลัง แต่กลับออกก่อนโคอื่นๆ ทั้งหมด ได้ยืนคร่อมเด็กทารกไว้ !
โคทั้งหลายได้เบียดเสียดโคอสุภะออกไป นายโคบาลคิดว่าวันนี้โคอสุภะออกก่อนและยืนนิ่งอยู่ที่ประตูคอก
มีเหตุอะไรหนอ? จึงเดินไปดูเห็นทารกนอนอยู่ มีความรักเหมือนลูก คิดว่าเราได้ลูกชายแล้วนำไปเลี้ยงไว้
ถูกทิ้งครั้งที่ ๓
นางกาลีกลับมาบอกเศรษฐีว่า เด็กยังไม่ตาย นายโคบาลผู้รักเด็กทารกได้นำไปเลี้ยง เขาจึงให้เงินไปซื้อเด็กกลับมาอีก
เศรษฐีสั่งนางกาลีว่า
“เจ้าจงเอาเด็กคนนี้ไปนอนที่ทางเกวียน เมื่อเกวียนผ่านมา โคก็จักเหยียบมันตาย เจ้าจงดูว่ามันตายหรือไม่?”
นางกาลีก็ทำตามคำสั่งของท่านเศรษฐี ผู้มีจิตเคียดแค้นริษยาทุกประการ
เกวียนเล่มแรกพอเดินทางมาใกล้เด็ก โคก็หยุด ไม่ยอมเดิน? เมื่อเจ้าของตีก็สลัดแอกออก หัวหน้ากองเกวียนนำกลับมาเทียมใหม่ก็ไม่ยอมเดินจนสว่าง
นายกองเกวียนเห็นทารก แล้วนำไปสู่เรือนด้วยความยินดีว่าเราได้ลูกชายแล้ว
ถูกทิ้งคร้ังที่ ๔
นางกาลีกลับมาบอกเศรษฐีว่า
“นายกองเกวียนนำเด็กน้อยไปเลี้ยงไว้”
เศรษฐีให้เงินไปซื้อเด็กกลับมา
เศรษฐีคิดว่า
“ทิ้งทารกในที่มีคน คนก็ช่วย ต้องทิ้งที่ไม่มีคนจึงตายสมใจ”
จึงบอกนางกาลีว่า
“จงเอาทารกนี้ไปวางไว้ข้างพุ่มไม้ป่าช้าผีดิบ ให้สุนัข กา หรือ อมนุษย์มากินซากศพ ก็จะกินทารกนี้ไปด้วย เจ้าต้องดูว่าตายหรือไม่แล้วจึงกลับมา”
นางกาลีทำตามนั้น
ขณะบรรดาแร้ง กา สุนัข เข้ามาห้อมล้อมทารกนั้น แต่ไม่มีสัตว์ใดทำอันตรายทารกได้
เพราะผลบุญที่เขามีความรักและเลื่อมใสในพระปัจเจกพุทธเจ้าในชาติที่เกิดเป็นสุนัข
มีเจ้าของแพะได้ต้อนแพะผ่านป่าช้าผีดิบ แพะแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งเดินผ่านไปที่ทารกนอนอยู่ได้คุกเข่าลงให้ทารกดูดนม
เจ้าของแพะไล่อย่างไรก็ไม่ออก จึงเดินเข้าไปดู ได้เห็นทารกน้อยกำลังดูดนมแพะอย่างหิวโหยเหลือประมาณ
คิดว่าแพะเราดีเหลือเกินที่ให้นมแก่ทารก แล้วนำทารกกลับบ้าน และคิดว่าเราได้ลูกชายแล้ว
ถูกทิ้งครั้งที่ ๕
นางกาลีกลับมาบอกเศรษฐีว่า
“เจ้าของแพะได้นำเด็กไปเลี้ยง”
เศรษฐีจึงให้เงินไปซื้อเด็ก และนำกลับมา
เศรษฐีคิดว่า
“เมื่อทิ้งเด็กไว้นานก็มีคนช่วย ต้องทิ้งแล้วตายทันทีจึงจะตายสมใจเรา ต้องเอาไปทิ้งที่หน้าผาที่ทิ้งโจร”
จึงบอกนางกาลีว่า
“เจ้าจงเอาเด็กนี้ไปหน้าผาที่ทิ้งโจร จงปีนขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วโยนมันลงมา ให้มันกระทบหินระหว่างที่ตกลงมาก็จะตาย จงดูว่ามันตายหรือไม่ตายแล้จึงกลับมา”
นางกาลีได้ทำตามนั้น
นางปีนขึ้นหน้าผาที่สูงสุด แล้วหลับตาโยนเด็กลงมา เด็กลอยลิ่วตกลงที่ยอดไผ่ เผอิญมีพุ่มกระพังโหมหนาทึบ เด็กจึงสลบไปเพราะกระเทือนมาก
นางได้เดินหาเด็กว่าตกตายที่ตรงไหน? แต่หาไม่พบ ช่างจักสานไปตัดไม้ไผ่กับลูกชาย พบเด็กฟื้นขึ้นร้องไห้อยู่บนยอดไผ่ เกิดความรักเหมือนลูก จึงนำไปเลี้ยงไว้ นางกาลีกลับมารายงานว่า
“ช่างจักสานนำไปเลี้ยงไว้”
ถูกทิ้งครั้งที่ ๖
เศรษฐีให้เงินไปซื้อเด็กกลับมา เศรษฐีได้พยายามทุกวิถีทาง ที่จะฆ่าเด็กคนนี้หลายครั้งแต่ก็ยังไม่ตาย
เด็กโตขึ้นมีชื่อว่า “โฆสกะ”
บุตรของเศรษฐีก็โตขึ้นมาไล่เลี่ยกัน แต่มีความสามารถน้อยกว่า จึงเรียกโฆสกะว่า “พี่” ด้วยความเต็มใจ
เศรษฐีให้ลูกของตนเรียนหนังสือ ส่วนโฆสกะไม่ให้เรียน เพราะเกลียดนัก ถ้าโฆสกะทำอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเศรษฐีจะเฆี่ยนตีอย่างมาก
ลูกของตนผิดมาก ก็จะเฆี่ยนน้อย ด้วยอำนาจเลือกที่รักมักที่ชัง ! โฆสกะจึงกลัวพ่อมาก
เศรษฐีหาอุบายฆ่าโฆสกะตลอดเวลา จึงไปหาช่างปั้นหม้อผู้เป็นสหาย ถามว่าเมื่อไรจะปั้นหม้อเขาตอบว่า
“พรุ่งนี้”
จึงมอบเงินให้ ๑ พันกหาปณะ แล้วกล่าวว่า
“ฉันมีอวชาตบุตรอยู่คนหนึ่ง พรุ่งนี้ฉันจะให้มาหาท่าน ท่านจับแขน แล้วฟันให้ขาดสองท่อนโยนเข้าไปในเตาเผาหม้อ กว่าท่านจะเผาหม้อเสร็จ กระดูกก็ละเอียดอยู่ในเตาเผา ไม่มีใครสามารถรู้ว่ามีคนตายอยู่เตานี้”
ช่างปั้นหม้อว่า
“สบายมาก เรื่องนี้ไม่ยากเลย จะจัดการให้”
วันรุ่งขึ้น เศรษฐีได้สั่งให้โฆสกะไปหาช่างหม้อแล้วบอกว่า
“จงทำงานที่พ่อสั่งเมื่อวานให้เสร็จ ลูกรีบไปเดี๋ยวนี้เลย”
โฆสกะจึงรีบไปบ้านช่างหม้อ ฝ่ายลูกชายเศรษฐีกำลังเล่นโยนหลุมกับเพื่อน เมื่อเห็นโฆสกะจึงถามว่าจะไปไหน
โฆสกะว่าจะเอางานของพ่อไปบอกช่างปั้นหม้อ บุตรเศรษฐีบอกว่าเขาแพ้พนันมาหลายตาแล้ว ให้พี่เล่นแก้มือให้เขาอยู่ที่นี่
แล้วเขาจะเอางานพ่อไปให้ช่างหม้อเอง (รับอาสาทำแทนโฆสกะ !)
โฆสกะจึงบอกว่า
“น้องจงบอกช่างหม้อว่าจงทำงานที่พ่อสั่งเมื่อวานนี้ให้เสร็จ พี่จะโยนหลุมแก้มือให้”
ลูกเศรษฐีรีบเดินทางไปบ้านช่างปั้นหม้อ
โฆสกะเล่นอยู่จนเย็นไม่เห็นน้องกลับมา จึงกลับบ้านนึกว่า
“พ่อตีแน่ ! พ่อตีแน่ !”
พอถึงบ้าน เศรษฐีถามว่าไม่ได้ไปบ้านช่างหม้อหรือ
เขาบอกว่า
“น้องขอไปแทน ให้ผมเล่นโยนหลุมแก้มือให้”
พอรู้เข้าเศรษฐีเร่าร้อนมาก ออกวิ่งไปบ้านช่างหม้อ พร้อมตะโกนว่า
รอสักครู่อ่านตอนต่อไปนะคะ
ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ