ความร้อนคือสัญญาลักษณ์ของไฟ เวทนาคือความรู้สึกของกาย เมื่อจิตพิจารณา ความไร้สาระของกายที่เวทนา จิตจึงหลุดพ้นจากกายอันน่าชังด้วยเวทนาแห่งธรรม จากพระโสดาบัน บรรลุธรรมจนถึงพระสกทาคามีและอนาคามีตามลำดับ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

“ ภิกษุทั้งหลาย ในอุบาสิกาเหล่านี้ อุบาสิกาที่เป็นโสดาบันก็มี เป็นสกทาคามีก็มี เป็นอนาคามีก็มี อุบาสิกาทั้งหมดนั้นไม่เป็นผู้ไร้ผลทำกาละดอก ภิกษุทั้งหลาย “

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้วทรงเปล่งพระอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

“โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏ
ดุจรูปอันสมควร คนพาลมีอุปธิกิเลสเป็นเครื่องผูกไว้ ถูกความมืดแวดล้อมแล้ว จึงปรากฏดุจมี
ความเที่ยง ความกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้เห็นอยู่

ก็แลครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมว่า

“ ภิกษุทั้งหลายธรรมดาสัตว์ทั้งหลาย เที่ยวไปในวัฏฏะ เป็นผู้ไม่ประมาทตลอดกาลเป็นนิตย์กระทำบุญกรรมก็มี เป็นผู้มีความประมาทกระทำบาปกรรมก็มี เหตุนั้น สัตว์ผู้เที่ยวไปในวัฏฏะ จึงเสวยสุขบ้างทุกข์บ้าง “

ความตายของพระนางสามาวดีควรแก่กรรมในปางก่อน

ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า “ ความตายเช่นนี้ ของอุบาสิกาผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาเห็นปานนี้ ไม่สมควรเลยหนอ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า

“ ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ”

เมื่อพวกภิกษุนั้นกราบทูลเรื่องที่กำลังสนทนากันอยู่แล้ว ตรัสว่า

“ ภิกษุทั้งหลาย ความตายนั่นของหญิงทั้งหลาย มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ไม่ควรแล้วในอัตภาพนี้ แต่ว่าความตายอันหญิงเหล่านั้นได้แล้ว สมควรแท้แก่กรรมซึ่งเขาทำไว้ในกาลก่อน “

พระบรมศาสดาอันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาว่า

“ กรรมอะไร อันหญิงเหล่านั้นทำไว้ในกาลก่อน พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย “

ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า

บุรพกรรมของพระนางสามาวดีกับบริวาร

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระองค์ได้ทรงอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์

ให้ฉันอยู่ในพระราชวังเป็นเนืองนิตย์ โดยมีหญิง ๕๐๐ คน คอยบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น

วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์ไปสู่หิมวันตประเทศ ส่วนอีกองค์หนึ่ง นั่งเข้าฌานอยู่ในที่รกเต็มไปด้วยหญ้าแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ

เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไปแล้ว พระราชาทรงพาหญิงเหล่านั้นไป เพื่อทรงเล่นน้ำในแม่น้ำ ณ สถานที่นั้น

หญิงเหล่านั้นเล่นน้ำอยู่ตลอดช่วงเวลาหนึ่ง ก็ขึ้นมาจากการเล่นน้ำแล้ว

ครั้นเมื่อถูกความหนาวบีบคั้นก็ใคร่จะผิงไฟ จึงกล่าวกันว่า

“ท่านทั้งหลาย พึงหาดูที่ก่อไฟของพวกเรา “

เที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่เห็นที่รกด้วยหญ้า (ชัฏหญ้า) นั้น จึงยืนล้อมก่อไฟแล้ว ด้วยสำคัญว่า “กองหญ้า“

เมื่อหญ้าทั้งหลายไหม้แล้วก็ยุบลง หญิงเหล่านั้นแลเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงกล่าวกันว่า

“ พวกเรา ฉิบหายแล้ว ! พวกเราฉิบหายแล้ว ! พระปัจเจกพุทธเจ้าของพระราชาถูกไฟคลอก พระราชาทรงทราบจักทำพวกเราให้ฉิบหาย เราจักทำท่านให้ไหม้ทั้งหมด “

เพื่อปกปิดความผิดของตนเอง ทุกคนจึงนำฟืนมาจากที่โน้นที่นี้ มาสุมรวมกันทำให้เป็นกองในเบื้องบนแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น แล้วหญิงเหล่านั้นสุมไฟใส่ในฟืนกองนั้นแล้วหลีกไป ด้วยคิดว่า

“ บัดนี้ จักไหม้ละ “

ความจริงนั้น คนทั้งหลายแม้นำฟืน ๑,๐๐๐ เล่มเกวียนมาสุมอยู่ ก็ไม่อาจที่จะทำอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ทรงอยู่ในสมาบัติ

แม้จะเพียงให้รู้สึกว่าอุ่นได้ เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ในวันที่ ๗ ท่านจึงออกจากสมาบัติ แล้วก็ไปตามสบายแล้ว

หญิงเหล่านั้นไหม้ในนรกลิ้นหลายพันปี เพราะผลแห่งกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น เมื่อพ้นจากนรกแล้ว ก็ต้องมาถูกเผาอยู่ในเรือนที่ถูกไฟไหม้อยู่

โดยทำนองนี้แล สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ ด้วยวิบากอันเหลือเศษแห่งกรรมนั้นแล นี้เป็นบุรพกรรมของหญิงเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.

ทรงแต่งตั้งเป็นเอตทัคคะผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา

ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนา พวกอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงนำเรื่องที่พระนางแผ่เมตตา ห้ามลูกธนูที่พระราชาทรงกริ้วตนได้  

เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง แล้วสถาปนาพระนางสามาวดี อุบาสิกาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกา ผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา

ความร้อนคือสัญญาลักษณ์ของไฟ
เวทนาคือความรู้สึกของกาย
เมื่อจิตพิจารณา
ความไร้สาระของกายที่เวทนา
จิตจึงหลุดพ้นจากกายอันน่าชังด้วยเวทนาแห่งธรรม
จากพระโสดาบัน
บรรลุธรรมจนถึงพระสกทาคามีและอนาคามีตามลำดับ

กราบพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข้าพเจ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ