พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“ ภิกษุทั้งหลาย ในอุบาสิกาเหล่านี้ อุบาสิกาที่เป็นโสดาบันก็มี เป็นสกทาคามีก็มี เป็นอนาคามีก็มี อุบาสิกาทั้งหมดนั้นไม่เป็นผู้ไร้ผลทำกาละดอก ภิกษุทั้งหลาย “
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้วทรงเปล่งพระอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
“โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏ
ดุจรูปอันสมควร คนพาลมีอุปธิกิเลสเป็นเครื่องผูกไว้ ถูกความมืดแวดล้อมแล้ว จึงปรากฏดุจมี
ความเที่ยง ความกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้เห็นอยู่
ก็แลครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมว่า
“ ภิกษุทั้งหลายธรรมดาสัตว์ทั้งหลาย เที่ยวไปในวัฏฏะ เป็นผู้ไม่ประมาทตลอดกาลเป็นนิตย์กระทำบุญกรรมก็มี เป็นผู้มีความประมาทกระทำบาปกรรมก็มี เหตุนั้น สัตว์ผู้เที่ยวไปในวัฏฏะ จึงเสวยสุขบ้างทุกข์บ้าง “
ความตายของพระนางสามาวดีควรแก่กรรมในปางก่อน
ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า “ ความตายเช่นนี้ ของอุบาสิกาผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาเห็นปานนี้ ไม่สมควรเลยหนอ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
“ ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ”
เมื่อพวกภิกษุนั้นกราบทูลเรื่องที่กำลังสนทนากันอยู่แล้ว ตรัสว่า
“ ภิกษุทั้งหลาย ความตายนั่นของหญิงทั้งหลาย มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ไม่ควรแล้วในอัตภาพนี้ แต่ว่าความตายอันหญิงเหล่านั้นได้แล้ว สมควรแท้แก่กรรมซึ่งเขาทำไว้ในกาลก่อน “
พระบรมศาสดาอันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาว่า
“ กรรมอะไร อันหญิงเหล่านั้นทำไว้ในกาลก่อน พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย “
ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า
บุรพกรรมของพระนางสามาวดีกับบริวาร
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระองค์ได้ทรงอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์
ให้ฉันอยู่ในพระราชวังเป็นเนืองนิตย์ โดยมีหญิง ๕๐๐ คน คอยบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น
วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์ไปสู่หิมวันตประเทศ ส่วนอีกองค์หนึ่ง นั่งเข้าฌานอยู่ในที่รกเต็มไปด้วยหญ้าแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ
เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไปแล้ว พระราชาทรงพาหญิงเหล่านั้นไป เพื่อทรงเล่นน้ำในแม่น้ำ ณ สถานที่นั้น
หญิงเหล่านั้นเล่นน้ำอยู่ตลอดช่วงเวลาหนึ่ง ก็ขึ้นมาจากการเล่นน้ำแล้ว
ครั้นเมื่อถูกความหนาวบีบคั้นก็ใคร่จะผิงไฟ จึงกล่าวกันว่า
“ท่านทั้งหลาย พึงหาดูที่ก่อไฟของพวกเรา “
เที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่เห็นที่รกด้วยหญ้า (ชัฏหญ้า) นั้น จึงยืนล้อมก่อไฟแล้ว ด้วยสำคัญว่า “กองหญ้า“
เมื่อหญ้าทั้งหลายไหม้แล้วก็ยุบลง หญิงเหล่านั้นแลเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงกล่าวกันว่า
“ พวกเรา ฉิบหายแล้ว ! พวกเราฉิบหายแล้ว ! พระปัจเจกพุทธเจ้าของพระราชาถูกไฟคลอก พระราชาทรงทราบจักทำพวกเราให้ฉิบหาย เราจักทำท่านให้ไหม้ทั้งหมด “
เพื่อปกปิดความผิดของตนเอง ทุกคนจึงนำฟืนมาจากที่โน้นที่นี้ มาสุมรวมกันทำให้เป็นกองในเบื้องบนแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น แล้วหญิงเหล่านั้นสุมไฟใส่ในฟืนกองนั้นแล้วหลีกไป ด้วยคิดว่า
“ บัดนี้ จักไหม้ละ “
ความจริงนั้น คนทั้งหลายแม้นำฟืน ๑,๐๐๐ เล่มเกวียนมาสุมอยู่ ก็ไม่อาจที่จะทำอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ทรงอยู่ในสมาบัติ
แม้จะเพียงให้รู้สึกว่าอุ่นได้ เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ในวันที่ ๗ ท่านจึงออกจากสมาบัติ แล้วก็ไปตามสบายแล้ว
หญิงเหล่านั้นไหม้ในนรกลิ้นหลายพันปี เพราะผลแห่งกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น เมื่อพ้นจากนรกแล้ว ก็ต้องมาถูกเผาอยู่ในเรือนที่ถูกไฟไหม้อยู่
โดยทำนองนี้แล สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ ด้วยวิบากอันเหลือเศษแห่งกรรมนั้นแล นี้เป็นบุรพกรรมของหญิงเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
ทรงแต่งตั้งเป็นเอตทัคคะผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา
ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนา พวกอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ จึงทรงนำเรื่องที่พระนางแผ่เมตตา ห้ามลูกธนูที่พระราชาทรงกริ้วตนได้
เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง แล้วสถาปนาพระนางสามาวดี อุบาสิกาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกา ผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา
ความร้อนคือสัญญาลักษณ์ของไฟ
เวทนาคือความรู้สึกของกาย
เมื่อจิตพิจารณา
ความไร้สาระของกายที่เวทนา
จิตจึงหลุดพ้นจากกายอันน่าชังด้วยเวทนาแห่งธรรม
จากพระโสดาบัน
บรรลุธรรมจนถึงพระสกทาคามีและอนาคามีตามลำดับ
กราบพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข้าพเจ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ