วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562

..วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562..

คุณแม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ ถวายภัตตาหารเช้าเพลแก่พระสงฆ์ในทิศทั้งสี่ เจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ เป็นเวลา 10 วัน ณ พุทธมณฑล อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม
บริเวณสวนเวฬุวัน ศาลามรรค 8 พระสงฆ์จำนวน 501 รูป

: ถวายปัจจัย 280,000 รูปี เป็นภัตตาหารแก่พระสงฆ์สามเณรที่เตรียมตัวสอบพระปริยัติธรรม ณ วัดไทยเชตวันวิหาร นครสาวัตถี แคว้นโกศล ประเทศอินเดีย
มีพระสงฆ์สามเณรจำนวน 40 รูป เป็นเวลา 20 วัน

: พาคณะผู้ปฎิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานเดินจงกลมเจริญภาวนา
ณ วัดเชตวัตมหาวรวิหาร นครสาวัตถี
แคว้นโกศล ประเทศอินเดีย จำนวน44 ท่าน

: ถวายน้ำดื่ม โครงการปฎิบัติธรรมพระนิสิตปริญญาตรี โท เอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ณ พุทธมณฑล บริเวณสวนไผ่ นครปฐม จำนวน 9,600 ขวด

: ถวายน้ำดื่ม ณ สถานปฎิบัติธรรมมหาจุฬาอาศรม หมวกเหล็ก สระบุรี 4,800 ขวด

: ถวายน้ำดื่ม ณ สถานปฎิบัติธรรม ธรรมโมลี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 9,600 ขวด

: ถวายน้ำดื่ม ณ สถานปฎิบัติธรรมวัดภัตทันตะอาสภาราม จังหวัดชลบุรี 4,800 ขวด

..กราบอนุโมทนากับพระภิกษุสามเณรและผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน ที่สร้างกำลังใจสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในจิตของข้าพเจ้า..

..ความศรัทธาใด..คุณวิเศษใด..ที่เกิดขึ้นในพระสงฆ์..สามเณรแล้ว..ขอคุณวิเศษนั้น..จงส่งผลให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย..มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม..เจริญด้วยมนุษย์สมบัติ..มีชีวิตอยู่ในสวรรค์สมบัติ..เข้าถึงพระนิพพานสมบัติเป็นที่สุดเทอญ..

..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..

การแสดงตนในการปฏิบัติธรรม

การแสดงตนในการปฎิบัติธรรม
เริ่มต้นที่รักษาศีล5-8 ต่อเนื่องด้วยการสวดมนต์ เมื่อศีลบริสุทธิการสวดย่อมเกิดคุณของพระรัตนตรัยตามลำดับ

จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะที่สวดมนต์จิตจะจดจ่ออยู่กับบทสวดไม่วอกแวกวุ่นวายไปในที่อื่น จึงมีความสงบเกิดสมาธิมั่นคง สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส เพราะการสวดมนต์จัดว่าเป็นการทำสมาธิขั้นต้นอย่างหยาบๆ เป็นการรวบรวมจิตที่ฟุ้งซ่านต่างๆ ให้สงบระงับในเบื้องต้น

เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย บทสวดมนต์แต่ละบทเป็นการกล่าวถึงคุณของพระพุทธเจ้า กล่าวถึงพระธรรมที่เป็นคำสั่งสอน เป็นการบอกว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร จะปฏิบัติอย่างไร

สติมาปัญญาเกิด ถ้าสวดพร้อมกับคำแปลก็จะเกิดสติปัญญาเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า รู้เห็นตามความเป็นจริง สามารถดับทุกข์ได้ตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคน นอกจากนี้ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตได้

จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาเป็นการมอบความรักความปรารถนาดีให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธให้เบาบางลงไป พบแต่ความสุขสงบ

คลายความเครียด ในขณะสวดมนต์จิตจะจดจ่อกับบทสวด สมองจะปลอดโปร่ง ไม่คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย

เพิ่มพูนบุญบารมี ขณะที่สวดมนต์จิตใจจะสะอาด ปราศจากกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง จึงเป็นบ่อเกิดแห่งบุญบารมี เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่ต้องการได้

ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะที่สวดมนต์ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อเอาชนะความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รวมทั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำที่จะเข้ามากระทบจิตใจทำให้เกิดความเกียจคร้าน ดังนั้น ยิ่งสวดบ่อยๆ ความอดทนก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น

พิชิตใจผู้คนให้รักใคร่ การสวดมนต์เป็นประจำจะทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้ที่เป็นมิตรอยู่แล้วก็รักใคร่กลมเกลียวกันมากยิ่งขึ้น แม้คนที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันก็จะหันกลับมาคืนดีในที่สุด

ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย การสวดมนต์เป็นประจำ จะทำให้รอดพ้นจากภัยอันตราย ในยามโชคร้ายประสบเคราะห์กรรมอันจะมีมาถึงตัว เพราะจะทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา

มนต์บางบทพระพุทธเจ้าเคยใช้เมื่อตอนบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ใช้สวดเพื่อคุ้มครองป้องกันตนเองและพวกพ้องบริวารให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง

ครอบครัวเป็นสุขสดใส การสวดมนต์เป็นการสร้างความสุข และเกิดความสามัคคีในครอบครัว

เป็นการรักษาไว้ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้า

หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ไม่นาน

พระมหากัสสปะได้เป็นประธานในการรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นหมวดหมู่และไม่ให้เกิดการสูญหาย

สมัยนั้นยังไม่มีการจารึกคำสอนเป็นลายลักษณ์อักษร ยังใช้การท่องจำที่เรียกว่า “มุขะปาฐะ”

เมื่อพระสงฆ์รวบรวมคำสอนเป็นหมวดหมู่แล้ว ก็ให้พระสงฆ์ท่องจำเข้าไว้ จึงเกิดเป็นการสวดมนต์

บทสวดมนต์เหล่านั้นก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้า

บทที่เราควรสวดคือ “ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร” เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นพระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์แสดงเป็นครั้งแรก ที่เรียกว่า “ปฐมเทศนา”พระธรรมที่ทำให้ตรัสรู้

ถวายเสียงเป็นพุทธบูชามีอานิสงส์นับไม่ได้

พระธรรมของพระพุทธองค์อัศจรรย์
“ปัตจัตตัง”เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน

ชีวิตที่แช่อยู่ในกิเลสตลอดเวลา
เมื่อเริ่มลงมือปฎิบัติ
กิเลสทั้งหลายจะไหลเข้ามาในความคิด
ทำให้เกิดความละอายเกรงกลัวต่อบาป

หากกำลังสวดมีจิตเป็นอกุศลก็สวดให้เสียงดังขึ้น
อย่าละสายตาจากตัวหนังสือ

ค่อยเป็นค่อยไปทำให้สม่ำเสมอ
เหมือนผึ้งสร้างรัง
ศีลคือรังผึ้ง..น้ำผึ้งคือผลของการสวดมนต์

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันจันทร์ที่16ธันวาคม2562

วันจันทร์ที่16ธันวาคม2562

ถวายภัตตาหารเช้าเพลน้ำปานะแก่พระนิสิตสาขาวิชาสังคมศาสตรปริญญาตรี โท
เอก ณ.พุทธมณฑล อ.ศาลายา จ.นครปฐม
บริเวณสวนไผ่ ศาลามรรค8

อนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมบุญใหญ่ในครั้งนี้หากว่างท่านสามารถมาร่วมถวายภัตตาหารได้ทุกวัน13-24ธันวาคม2562
พระสงฆ์501รูปเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน
ตามแนวสติปัฎฐานสี่
ประจำปี2562เป็นเวลา10วัน

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตน์ตรัยจงส่งผลให้ทุกท่านจงเจริญด้วย
อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฎิพาน ธนสารสมบัติเทอญ

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ความไม่โกรธ

ความไม่โกรธ

ในอดีตกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ ชื่อว่า "กุณฑลกุมาร" ท่านศึกษาเล่าเรียนจนแตกฉานในศิลปะทุกอย่าง พอบิดามารดาละโลกไปแล้ว 

ท่านก็ได้ พิจารณาดูกองมรดก จึงเห็นว่า สมบัติที่พ่อแม่และ หมู่ญาติหามาได้ ก็ใช้ได้เฉพาะในภพชาตินี้เท่านั้น ไม่มีใครนำติดตัวไปในปรโลกได้เลย

ท่าน จึงตัดสินใจเปิดคลังสมบัติทั้งหมดบริจาคมหาทานตลอด ๗ วัน จากนั้นก็เข้าป่าหิมพานต์ เพื่อไปบวชเป็นฤๅษี พอบวชแล้วได้ชื่อใหม่ว่า “ขันติวาทีดาบส” บำเพ็ญตบะอยู่ตามลำพัง

วันหนึ่งท่านออกจากป่าเข้าไปเที่ยวภิกขาจารในกรุงพาราณสี เสนาบดีท่านหนึ่งเห็นกิริยาอาการของท่านแล้ว บังเกิดความเลื่อมใส จึงน้อมถวาย ภัตตาหารด้วยความเคารพ และถือโอกาสอาราธนา ท่านให้พักอยู่ในพระราชอุทยาน

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ากลาปุทรงดื่มน้ำจัณฑ์จนมึนเมาในพระราชอุทยาน แล้วทรงบรรทมบนตักของสนมคนโปรด นางหนึ่ง ส่วนพวกหญิงนักฟ้อนคนอื่น ๆ ก็พากันขับร้องให้พระองค์บันเทิงสำราญพระทัย

พอพระเจ้ากลาปุบรรทมหลับไป พวกหญิงนักฟ้อนก็ชวนกันไปเดินเล่นในสวน เผอิญได้พบฤาษีโพธิสัตว์ จึงชักชวนกันไปฟังธรรม ในขณะที่พวกนางกำลังฟังธรรมอยู่นั้น

พระราชาก็ทรงตื่นบรรทม เพราะนางสนมคนโปรดที่ทรงหนุนตักขยับตัว เมื่อทรงตื่นแล้วไม่เห็นนางสนมเหล่านั้น ก็ทรงพิโรธมาก

ทรงถือพระขรรค์เสด็จไปหาพระดาบสด้วยความโกรธ หมายจะตัดหัว เมื่อไปถึงก็ตรัสถามว่า
ท่านดาบส ท่านมีปกติสรรเสริญคุณธรรมอะไร พระดาบสทูลว่า มหาบพิตร อาตมาเป็นขันติวาทะ กล่าวยกย่องขันติธรรม พระราชาตรัสถามต่อว่า ที่ชื่อว่าขันตินั้นคืออะไร

     พระดาบสตอบว่า
“ขันติก็คือความไม่โกรธ ไม่ผูกพยาบาท แม้มีใครมาประทุษร้ายก็รักษาจิตให้สงบ ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่มากระทบ”

พระราชาได้ฟังดังนั้น จึงตรัสว่า ประเดี๋ยวเถอะ เราจะได้เห็นขันติของท่าน แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตมาเพชฌฆาตเดินถือขวาน แซ่หนาม และสวมพวงมาลัยแดง

เมื่อมาถึง พระราชาตรัสรับสั่งว่า เจ้าจงจับดาบสนี้ให้นอนคว่ำลงกับพื้น แล้วเอาแซ่หนาม เฆี่ยนตามตัว ๒,๐๐๐ ครั้ง เพชฌฆาตก็ทำตามรับสั่ง

พระดาบสมิได้คิดประทุษร้ายต่อเพชฌฆาตเลย เพราะท่านหวังจะเพิ่มขันติบารมี เนื้อหนังของพระโพธิสัตว์ ขาดแหว่งไปทั่ว โลหิตไหลเนืองนอง เจ็บปวดทรมาน แสนสาหัส แต่ท่านก็ไม่ปริปากโอดครวญ

     พระราชาตรัสถามซํ้าอีกว่า ท่านดาบส ท่านยังยกย่องอะไรอีก พระโพธิสัตว์ก็ทูลยืนยันตามเดิมว่า มหาบพิตร อาตมายกย่องขันติธรรม ขันติไม่ได้อยู่ที่ผิวหนังหรอก ขันติของอาตมาอยู่ภายในใจ แม้พระองค์ก็ไม่อาจแลเห็นได้

พระราชาทรงกริ้วมาก จึงรับสั่งให้เพชฌฆาตตัดมือทั้งสองข้างของดาบส เพชฌฆาตก็ใช้ขวานตัดมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ตัดที่ข้อเท้าทั้งสอง

โลหิตสด ๆ ไหลออกจากปลาย ข้อมือและข้อเท้าเหมือนสายน้ำที่รั่วไหลออกจากท่อ พระราชาตรัสถามอีกว่า

“ขันติท่านอยู่ตรงไหน”

พระโพธิสัตว์ก็ยังทูลเหมือนเดิมว่า

“ขันติอยู่ที่ใจ แต่ พระองค์สำคัญว่าขันติมีอยู่ที่ปลายมือปลายเท้าของอาตมา ขันติไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะขันติของอาตมาตั้งอยู่ภายในใจ ที่ลึกซึ้งเกินกว่าพระองค์จะเข้าพระทัยได้”

     จากนั้นพระราชาตรัสสั่งให้เพชฌฆาตตัดหูและจมูกพระโพธิสัตว์ ทำให้ทั่วทั้งร่างกายมีแต่โลหิต ไหลเจิ่งนองไม่หยุด แม้จะได้รับทุกข์ทรมานปางตาย แต่พระดาบสก็ไม่ยอมโต้ตอบ เพราะปรารถนาจะเพิ่มพูนขันติบารมี

ฝ่ายพระราชาเมื่อไม่สาแก่พระทัย จึงตรัสประชดประชันว่า ท่านผู้เดียวจงยกย่องเชิดชู ขันติธรรมต่อไปเถอะ แล้วเอาพระบาทกระทืบยอดอกพระดาบส แล้วเสด็จจากไปอย่างไม่ไยดี

     เมื่อพระราชาเสด็จไปแล้ว ท่านเสนาบดีเกรงว่า พระดาบสผู้มีฤทธานุภาพจะโกรธ และอาจบันดาลให้เมืองทั้งเมืองพังพินาศไปได้ จึงรีบเข้ามาเช็ดเลือด และประคองร่างของพระโพธิสัตว์

เก็บรวบรวมอวัยวะ ต่าง ๆ แล้วขอให้ท่านได้อดโทษต่อพระราชาและ ทุก ๆ คน พระโพธิสัตว์ผู้มีมหากรุณาอยู่แล้วจึงบอกว่า

“พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของเรา ขอพระองค์จงทรงพระชนม์ยั่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญยิ่ง ๆ ขึ้นไป อาตมภาพ ไม่มีความโกรธเคืองในพระราชาแม้เพียงเล็กน้อย ขอพระองค์ทรงพระเจริญเถิด”

     ฝ่ายพระราชาเมื่อเสด็จไปลับตาพระโพธิสัตว์เท่านั้น มหาปฐพีซึ่งหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ก็ไม่สามารถจะรองรับกรรมหนักของพระราชาได้ จึงแยกตัวออก เปลวไฟจากอเวจีมหานรกก็แลบออกมา เผาไหม้พระองค์

และทรงถูกธรณีสูบลงไปเสวยวิบากกรรมในอเวจีมหานรกทันที

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในวันนั้นเอง
…………………………………………………………………………

ขันติของท่านในครั้งนั้นเป็น
“ขันติปรมัตถบารมี”
เพราะแม้ถูกเบียดเบียนถึงชีวิตก็อดทนไม่โกรธตอบ

     เราจะเห็นว่า กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อนำตนและสรรพสัตว์ไปสู่ฝั่งนิพพาน ต้องอาศัยขันติธรรมเป็นอย่างมาก

คำว่า ขันติ ต้องเป็นความ อดทนด้วยจิตที่เป็นกุศลเท่านั้น เช่น แม้ถูกเบียดเบียน ก็ไม่โกรธ ไม่ทำร้ายตอบ แต่รักษาใจเป็นปกติ ไม่ขุ่นเคือง และมีเมตตา

….ส่วนการนิ่งเงียบ ไม่โต้ตอบ แต่ภายในใจแค้นเคืองลุกเป็นไฟเพื่อรอตอบโต้ภายหลัง …อย่างนี้ไม่จัดเป็นขันติ เพราะถือว่าจิตยังเจือด้วยอกุศล

..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..

คณะผู้ปฎิบัติธรรมวัดเชตวันมหาวรวิหาร นครสาวัตถี แคว้นโกศล ประเทศอินเดีย เริ่มวันนี้14-23ธันวาคม 2562

คณะผู้ปฎิบัติธรรมวัดเชตวันมหาวรวิหาร นครสาวัตถี แคว้นโกศล ประเทศอินเดีย เริ่มวันนี้14-23ธันวาคม 2562

ทรัพย์สินเงินทองของมีค่าไม่สามารถติดตามไปได้เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง
สร้างเหตุเพื่อปฎิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชาแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเสบียงบุญไว้ใช้ในโลกหน้า

บางครั้งการรอคอยให้ทุกอย่างพร้อมอาจไม่เป็นความจริง
ซ้อมทิ้งทุกคนเพื่อมาสร้างบุญก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
บางครั้งการรอคอยโอกาสก็ไม่ใช่ว่า โอกาสจะลอยมา

อนุโมทนาบุญร่วมกันนะคะ
ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562

..วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562..

..ถวายภัตตาหารเช้า-เพลน้ำปานะ แก่พระนิสิตสาขาวิชาสังคมศาสตร์ปริญญาตรี โท เอก ณ พุทธมณฑล อำเภอศาลายา จังหวัดนครปฐม
บริเวณสวนไผ่ ศาลามรรค 8

..อนุโมทนากับทุกท่าน..ที่ร่วมบุญใหญ่ในครั้งนี้..หากว่างท่านสามารถมาร่วมถวายภัตตาหารได้ทุกวัน 13 – 24 ธันวาคม 2562..

..พระสงฆ์ 501 รูป เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฎฐานสี่ประจำปี 2562 เป็นเวลา 10 วัน

..ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย..จงส่งผลให้ทุกท่านจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฎิพาน ธนสารสมบัติเทอญ..

..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..

อ่านต่อ

ความศรัทธาในพระรัตนตรัยเป็นบ่อเกิดของวาสนาและโภคทรัพย์

ในกรุงราชคฤห์ มีช่างจัดดอกไม้คนหนึ่ง ชื่อ “สุมนะ” ทุกๆ เช้า เขาจะนำดอกมะลิ ๘ ทะนาน ไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร และจะได้ทรัพย์มาเป็นค่าดอกไม้วันละ ๘ กหาปณะเป็นประจำ

    วันหนึ่ง ขณะที่เขาถือดอกไม้จะนำไปถวายพระราชา พระบรมศาสดาเสด็จมาบิณฑบาต พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์จำนวนมาก พระพุทธองค์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีออกจากพระวรกาย

นายสุมนะเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธามาก อยากจะถวายดอกมะลิทั้ง ๘ ทะนาน ที่ถืออยู่ในมือ เพื่อเป็นพุทธบูชา

    เขาคิดว่า

“ถ้าหากพระราชาไม่ได้รับดอกไม้เหล่านี้ในวันนี้ เราอาจจะถูกประหาร หรือถูกเนรเทศออกจากแว่นแคว้นก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะถึงพระราชาจะทรงอนุเคราะห์เรา ด้วยการพระราชทานทรัพย์เป็นค่าดอกไม้ ก็คงพอเลี้ยงชีวิตได้แค่ในภพชาตินี้เท่านั้น แต่การบูชาพระบรมศาสดาด้วยดอกไม้เหล่านี้ จะทำให้เราได้รับความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”

เขาคิดอย่างนี้แล้วก็ตัดสินใจสละชีวิต โปรยดอกไม้ทั้ง ๘ ทะนาน บูชาพระบรมศาสดาทันที ทันใดนั้น สิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น คือ ดอกมะลิทั้ง ๘ ทะนาน

ไม่ได้ตกถึงพื้นดินเลย ดอกมะลิ ๒ ทะนาน
ได้กลายเป็นเพดานดอกไม้ แผ่อยู่เหนือพระเศียรของพระบรมศาสดา

อีก ๒ ทะนาน แผ่เป็นกำแพงดอกไม้ลอยอยู่ข้างขวา และ ๒ ทะนานอยู่ข้างซ้าย

ส่วนอีก ๒ ทะนาน อยู่ข้างหลัง กำแพงดอกไม้ทั้งหมดนี้ ลอยไปพร้อมกับพระบรมศาสดา

เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำเนิน กำแพงดอกมะลิทั้งหมดก็ลอยตามไป เมื่อประทับยืน กำแพงดอกมะลิก็หยุดอยู่กับที่เหมือนกัน

    นายสุมนะเห็นดังนั้น เกิดความปีติปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง ได้ถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วกลับไปยังเรือนของตน เมื่อกลับไปถึงบ้าน ภรรยาของเขาถามหาดอกไม้สำหรับพระราชา 

เขาตอบว่า

“ถวายพระบรมศาสดาไปแล้ว”

    ภรรยาถามอีกว่า

“แล้วจะหาดอกไม้ที่ไหนไปถวายพระราชาล่ะ”

    เขาตอบว่า 

“ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่า ยอมสละชีวิตถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระบรมศาสดา ถ้าพระราชาจะลงพระอาญาอย่างไร ฉันก็ยอม”

    ภรรยาเขาเกิดความกลัวในพระอาญา จึงต่อว่าสามีว่า "ทำไมโง่อย่างนี้ ! เธอไม่รู้หรอกหรือว่า ธรรมดาพระราชาจะให้คุณหรือโทษ พระองค์ก็ทำได้อย่างเต็มที่ ถ้าทำให้พระองค์กริ้วเพียงครั้งเดียว ก็อาจเกิดความพินาศได้ ฉันไม่ยอมรับกรรมไปกับเธอด้วยหรอก"

นางรีบพาลูกไปเฝ้าพระราชา กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดเพื่อเอาตัวรอดว่า สิ่งที่นายสุมนะทำไปนั้น ขอให้เป็นเรื่องของเขาเพียงผู้เดียว ตนเองไม่ข้องเกี่ยวด้วย และจะขอหย่ากับนายสุมนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

    พระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นสัมมาทิฏฐิ และบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว จึงมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย พอได้สดับแล้วพระองค์รู้สึกชื่นชมนายสุมนะ แต่ก็แกล้งทำเป็นพิโรธตรัสว่า 

“เราต้องเอาผิดกับนายสุมนะให้จงได้”

รับสั่งให้ภรรยานายสุมนะกลับไป แล้วพระองค์ก็รีบตามเสด็จพระบรมศาสดาไปตลอดทาง

    พระบรมศาสดาทรงทราบว่า พระราชามีจิตเลื่อมใส   จึงเสด็จดำเนินต่อไปเพื่อให้พระราชาได้อนุโมทนาในการทำความดีของนายสุมนะ พระองค์ไม่ทรงประทานบาตรให้ใครเลย เสด็จไปจนถึงพระลานหลวง 

จึงได้ประทานบาตรแก่พระราชา พระพุทธองค์เสวยภัตตาหารที่พระลานหลวง ทรงอนุโมทนา แล้วจึงเสด็จกลับสู่พระวิหาร ซึ่งดอกไม้เหล่านั้นยังคงลอยติดตามพระองค์ไปตลอดเวลา จนกระทั่งเสด็จเข้าไปสู่พระคันธกุฎี ดอกไม้จึงได้ตกลงที่ซุ้มประตู

    พระเจ้าพิมพิสารส่งเสด็จพระบรมศาสดาแล้ว ทรงรับสั่ง ให้นายสุมนะเข้าเฝ้า ตรัสยกย่องการกระทำของเขา ที่กล้าสละชีวิตเพื่อบูชาพระพุทธองค์ และได้พระราชทาน ช้าง ม้า ทาส ทาสี นารีผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการ อย่างละ ๘ พร้อมทั้ง บ้านส่วย และทรัพย์ ๑ พันกหาปณะ กับเครื่องประดับชื่อว่า    มหาปสาธน์ แก่เขา

    พระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธองค์ถึงผลของการบูชาที่นายสุมนมาลาการได้กระทำว่า จะมีผลเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ตรัสว่า

    "อานนท์ นายมาลาการนี้ สละชีวิตเพื่อเรา ทำการบูชาด้วยดอกไม้ จักไม่ไปสู่ทุคติตลอดแสนกัป จะท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ต่อไปภายภาคหน้าจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่าสุมนะ"   

การบูชาบุคคลที่ควรบูชามีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นเพียงอามิสบูชา แต่ถ้าหากทำถูกที่ ถูกทักขิไณยบุคคล และทำด้วยจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว ย่อมได้รับผลอันไพบูลย์

ดังนั้นการบูชาบุคคลที่ควรบูชา จึงได้ชื่อว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง ไม่ว่าท่านผู้ควรบูชาทั้งหลาย จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม การบูชาก็มีอานิสงส์ไพศาลเช่นกัน ดังเช่นที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบทว่า

    ใครๆ ไม่อาจนับบุญของบุคคลผู้บูชาได้ว่า บุญนี้จะมีประมาณเท่าใด ไม่ว่าจะด้วยวิธีนับอย่างไรก็ตาม ซึ่งท่านผู้ควรบูชา คือ พระพุทธเจ้า หรือพระสาวกทั้งหลาย ผู้ข้ามพ้นธรรมที่ทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว ผู้ข้ามพ้นความเศร้าโศกและความคร่ำครวญแล้ว ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะยังมีชีวิตอยู่ หรือปรินิพพานแล้ว

…………………………………………………

..ความศรัทธาในพระรัตนตรัยเป็นบ่อเกิดของวาสนาและโภคทรัพย์..

..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..

พระพรหมมงคล หลวงปู่ทอง ละสังขารแล้ว

ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมกรรมใดก็ดีหากข้าพเจ้าเคย
ประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน ขอหลวงปู่ได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ
ผู้อำนวยการสถานปฎิบัติธรรม บ้านเพชรบำเพ็ญ

จงใคร่ครวญ..

..จงใคร่ครวญ..

..หากต้องทำงานกับคนมีอคติ..
..เคยมีอคติกับพ่อแม่ครูอาจารย์หรือเปล่า..

..เคยวิเคราะห์วิจารณ์พ่อแม่ครูอาจารย์..
..คิดแทนท่านทำผิดถูก..ถูกผิด..
..ท่านอย่างนั้น..ไม่อย่างนี้..
..เอ๊ะ..อ๊ะ..อ้าว..รำคาญใจ
..ความสงสัยทั้งหลายกลายเป็นกรรม..

..เก่งขนาดไหน..ดีวิเศษอย่างไร..
..เหมือนอยู่ผิดที่..ทำอะไรก็ผิด..
..ขาดความมั่นใจเฉียบพลัน..

..ถูกตัดสินจากคนมีอคติ..
..จง..เงียบ..เงียบ..เงียบ..
..ผลกรรมที่ทำไว้กำลังทำงาน..
..กรรมที่เคยวิเคราะห์วิจารณ์..

..หากคิดว่าไม่ยุติธรรม..
..อคติจะครอบงำ..ซ้ำ..ซ้ำ..
..ทำให้มีความเกลียดชัง..
..จมเจ่าอยู่ในทะเลเวลา..
..หมดกำลังใจ..หมดที่ยืน..

..เกิดเป็นคนต้องอดทนแน่นๆ..

..ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด..ยอมรับ..ดับที่ใจ..
..สิ่งดีๆจะเดินเข้ามาไม่ขาดสาย..
..แค่ยอมรับ..อย่าโกรธตอบ
..โลกใบนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ..

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

โอกาส..ของชีวิต..อยู่ที่เราสร้างทุกอย่างขึ้นมา

..จงใช้..เงิน..ของคุณ..ในสิ่งที่เงินสามารถ…ซื้อได้..

..จงใช้…เวลา…ที่เหลืออยู่..กับสิ่งที่เงิน..ซื้อไม่ได้..

..จงใช้…ชีวิต..ให้สนุกกับสุข..ในแบบของเรา..

..จงใช้…ความอ่อนน้อม…เพื่อ..เป็นที่รักในหมู่ชน..

..จงใช้..ใจ..ให้อภัย..ในสิ่งผิดพลาด..ของตนเอง..

..สิ่งที่ไม่ได้..เชื้อเชิญ..คือ..ความแก่เฒ่า..ความไม่แน่นอน..

..โอกาส..ของชีวิต..อยู่ที่เราสร้างทุกอย่างขึ้นมา..ไม่ใช่สวรรค์บันดาล..แล้วก็ไม่ใช่..ความบังเอิญ..

..แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..

อานิสงส์ของการรักษาศีล

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ของการรักษาศีลแก่ชาวปาฏลิคามใน มหาปรินิพพานสูตรว่ามี 5 ประการ คือ

     1. ย่อมได้โภคทรัพย์สมบัติมากมาย

     2. กิตติศัพท์อันดีงามย่อมขจรขจายไป

     3. มีความองอาจเมื่อไปสู่ชุมชนใดๆ

     4. ไม่เป็นผู้หลงตาย (ไม่ตายอย่างไร้สติ)

     5. เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ ย่อมมีสุคติเป็นที่ไป

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

” กลิ่นกฤษณาและกลิ่นจันทน์ ยังหอมน้อยกว่า กลิ่นหอมของผู้มีศีล ซึ่งหอมฟุ้งขจรไกลถึงปวงเทพไทเทวา และมนุษย์ทั้งหลาย “

การสำรวมระวังกายวาจาใจด้วยศีลทำให้
เกิดความสง่างามในท่ามกลาง

ไม่ว่าจะปรากฎ ณ.แห่งใดย่อมนำความปิติให้เกิดขึ้น

ขอให้ข้าพเจ้ามีความละอายเกรงกลัวต่อบาป
ข้าพเจ้ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ