อดีตชาติของพระมหากัสสปะ ท่านเคยถวายผ้าแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ภรรยาเอาโคลนใส่บาตร

อดีตชาติของพระมหากัสสปะ
ท่านเคยถวายผ้าแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ภรรยาเอาโคลนใส่บาตร

ช่วงกลางระหว่างพระพุทธเจ้าโกนาคมนะกับพระพุทธเจ้ากัสสปะ (กาลที่ยังไม่มีพระพุทธเจ้า เป็นกาลที่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า) พระเถระนี้เป็นกุฎุมพี อยู่อาศัยในกรุงพาราณสี เจริญวัยแล้วแต่งงานมีเหย้าเรือน

วันหนึ่ง เขาเดินเที่ยวไปในป่าได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังทำจีวร (ตัดเย็บจีวร) อยู่ที่ริมเเม่น้ำปรากฎว่าผ้าอนุวาตไม่พอ (ผ้าเเผ่นบางๆที่ทาบไปตามชายสบง จีวรเเละสังฆาฏิ) ท่านจึงเก็บพับผ้าไม่อาจทำต่อไปได้ กุฎมพีนั้นเห็นเเล้วถามว่า ท่านผู้เจริญ เหตุใดท่านจึงพับเก็บเล่า? ตอบว่า เพราะผ้าอนุวาตมีไม่พอ. เขาได้ถวายผ้าที่ตัวเองห่มอยู่ เเล้วตั้งความปรารถนาว่า “ความเสื่อมอะไรๆ จงอย่าได้มีเเก่ข้าพเจ้าในทุกที่ๆข้าพเจ้าเกิดเเล้ว”
ต่อมา ภรรยาเเละน้องสาวของเขาทะเลาะวิวาทกันอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้ามาบิณฑบาตในเรือนของเขาพอดี น้องสาวของเขาได้ถวายบิณฑบาตเเก่ท่าน เเล้วตั้งความปรารถนาว่า “ขอเราจงอยู่ห่างจากหญิงพาลเช่นนี้ ๑๐๐ โยชน์”

ภรรยาของเขาได้ยินคิดว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้านี้จงอย่าได้บริโภคอาหารที่นางนี้ถวายเลย” เเล้วเเย่งบาตรมาเทอาหารทิ้ง เเล้วเอาขี้โคลนใส่บาตรถวายไป
น้องสามีเห็นเเล้วพูดว่า “นางหญิงพาล เจ้าจะด่าหรือทุบตีเรายังจะดีเสียกว่าทิ้งอาหารในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ได้บำเพ็ญบารมีมา ๒ อสงไขย เเล้วเอาเปือกตมใส่บาตร ไม่ควรเลย”

ลำดับนั้น พี่สะใภ้เกิดสำนึกผิดรีบวิ่งตามไปขอบาตรมาเทขี้โคลนทิ้ง ล้างบาตรให้สะอาด อบด้วยผงเครื่องหอม เเล้วใส่อาหาร ”บิณฑบาตนี้มีเเสงสว่างฉันใด ขอร่างกายของเราจงมีเเสงสว่างฉันนั้นเถิด”
พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาเเล้วเหาะไปในอากาศ
สองสามีภรรยาดำรงอยู่ตราบชั่วอายุ ตายเเล้วเกิดในสวรรค์

ชาติต่อๆมาภรรยามีกลิ่นตัวเหม็นมาก
สมัยที่พระพุทธเจ้ากัสสปะจวนปรินิพพาน สามีเคลื่อนจากสวรรค์เกิดในตระกูลมีทรัพย์มาก ๘๐ โกฏิ ในกรุงพาราณสี เขาเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัย
ส่วนภรรยาเคลื่อนจากสวรรค์เกิดเป็นลูกสาวเศรษฐีในกรุงพาราณสี

ทั้งสองเจริญวัยเเล้ว บิดามารดาได้สู่ขอนางมาเป็นภรรยา วันที่นางเดินทางเข้าเรือสามีอานุภาพบาปกรรมที่ทำเเก่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เเสดงผล ทันทีที่นางข้ามธรณีประตูเข้าไป ก็เกิดกลิ่นเหม็นดุจหลุมคูถฟุ้งออกจากตัวนาง อุบาสกต้องสั่งให้นำนางกลับไปตระกูลของนาง ท่านว่านางถูกนำมาเเละถูกนำกลับถึง ๗ หน

บริจาคทองร่วมสร้างพระเจดีย์ กลิ่นตัวหาย
ครั้นพระพุทธเจ้ากัสสปะปรินิพพานเเล้ว คนทั้งหลายร่วมกันก่อพระเจดีย์สูง ๑ โยชน์ ด้วยอิฐทองคำมีค่า ๑ เเสน

ธิดาเศรษฐีรู้เเล้วคิดว่า “เราถูกส่งไปกลับอยู่ ๗ ครั้ง เราจะมีชีวิตไปทำไม” เเล้วทุบยุบเครื่องประดับของตนทำเป็นก้อนอิฐทองคำยาว ๑ ศอก กว้าง ๑ คืบ สูง ๔ นิ้ว จากนั้นนางก็ถือก้อนหรดาลเเละมโนศิลา ถือดอกบัว๘กำไปยังสถานที่ก่อสร้างพระเจดีย์

ขณะนั้น พระเจดีย์ขาดก้อนอิฐอยู่ ๑ ก้อนพอดี นางขอให้นางช่างนำอิฐไปวาง เเต่นายช่างขอให้นางวางเองเถิด นางจึงปีนขึ้นไปติดตั้งอิฐ เเล้วบูชาด้วย
ดอกบัว ๘ กำบนนั้น ลงมาเเล้วไหว้ตั้งความปรารถนาว่า “ขอให้ทุกๆที่เกิด ขอข้าพเจ้าจงมีกลิ่นจันทร์ฟุ้งออกจากกาย ขอให้มีกลิ่นบัวฟุ้งออกจากปาก” กระทำประทักษิณเเล้วกลับไปเรือน

ขณะนั้นเอง บุตรเศรษฐี (ต่อมาคือพระมหากัสสปะ) ก็เกิดระลึกถึงนาง ประกอบกับวันนั้นมีงานนักขัตฤกษ์ในพระนคร เขาถามหาธิดาเศรษฐี และขอให้คนไปรับนางมา นางไม่ยอมมา แจ้งว่าไม่มีเครื่องประดับ คนไปรับกลับมาบอกบุตรเศรษฐี เขาบอกว่าให้ไปรับนางมา เขาจะให้เครื่องประดับเอง

ทันทีที่นางเข้าไปในเรือนก็มีกลิ่นจันทน์และกลิ่นบัวฟุ้งไปทั่วเรือน บุตรเศรษฐีได้กลิ่นแล้วถามว่า เหตุใดวันก่อนเธอจึงมีกลิ่นเหม็น วันนี้ทำไมจึงมีกลิ่นหอมเล่า? นางจึงเล่ากุศลกรรมที่ร่วมสร้างพระเจดีย์

บุตรเศรษฐีคิดว่า “พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์จริงหนอ” เกิดความเลื่อมใสให้คนนำเสื้อที่ทำจากผ้ากัมพลไปหุ้มพระเจดีย์ทอง ทั้งให้ประดับเจดีย์ด้วยดอกบัวทองขนาดเท่าล้อรถ
ทั้งสองดำรงอยู่ตลอดชั่วอายุ ตายแล้วเกิดในสวรรค์

อานิสงค์แห่งการสร้างเจดีย์มีมาแต่ครั้งพุทธกาลค่ะ
ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมกันสร้างเจดีย์ในต่างแดนนะคะ

แม่ชี ทศพร วชิระบำเพ็ญ