วันนี้..วันพระแรม8ค่ำเดือน7ปีมะโรง

วันนี้..วันพระแรม8ค่ำเดือน7ปีมะโรง
………………………………………..
เรื่อง พระนางยโสธราเถรีผู้อยู่เบื้องหลัง
ความสำเร็จขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ทูลลาปรินิพพาน
จากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ เล่มที่ ๗๒ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่มที่ ๙ หน้าที่ ๖๔๐ ข้อที่ ๑๖๘

ยโสธราเถรีอปทานที่ ๘
ว่าด้วยบุพจริยาของพระยโสธราเถรี
[๑๖๘] ดิฉันมีฤทธิ์มาก มีปัญญามาก มีภิกษุณี ๑,๑๐๐ องค์ เป็นบริวาร เข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแล้วเห็นลายลักษณ์กงจักรของพระศาสดา แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง
ได้กราบทูลว่าหม่อมฉันมีอายุ ๗๖ ปี ล่วงเข้าปัจฉิมวัยแล้ว ถึงความเป็นผู้มีกายเงื้อมลงแล้ว ขอกราบทูลลาพระมหามุนี หม่อมฉันมีวัยแก่ มีชีวิตน้อยจักละพระองค์ไป มีที่พึ่งของตนได้ทำแล้ว มีมรณะใกล้เข้ามาในวัยหลัง
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันจักถึงความดับในคืนวันนี้ ชาติ ชรา พยาธิและมรณะ มิได้มี จักไปสู่นิพพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นบุรีอันไม่มีความแก่ ความตายและความไม่มีภัย ตั้งแต่ข้าพระองค์เป็นบริษัทเข้าเฝ้าพระองค์อยู่ รู้จักความผิด ขอประทานโทษ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันขอกราบทูลว่า เมื่อหม่อมฉันท่องเที่ยวไปในสงสาร หากมีความพลั้งพลาดในพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานโทษแก่หม่อมฉันเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนผู้ปฏิบัติตามคำสอนของเรา ท่านจงแสดงฤทธิ์ และตัดความสงสัยของบริษัททั้งปวงในศาสนาเถิด พระยโสธราเถรีกราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันชื่อ ยโสธราเป็นปชาบดีของพระองค์ เมื่อยังทรงครองอาคารวิสัย เกิดในศากยสกุลตั้งอยู่ในองคสมบัติ
ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า ขอพระองค์พึงทรงระลึกถึงกุศลกรรมเก่าของหม่อมฉันเถิด
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันสั่งสมบุญไว้เพื่อประโยชน์แก่พระองค์
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันงดเว้นอนาจารในสถานที่ไม่ควร แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ได้
ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อให้เป็นภรรยาผู้อื่นหลายพันโกฏิกัป ก็เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย
ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่ออุปการะหลายพันโกฏิกัป เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย (พระองค์ตรัสบอกหม่อมฉันว่า) เราย่อมให้ทานกะพวกยาจก เมื่อเราให้ทานอันอุดม เราย่อมไม่เห็นหม่อมฉันเสียใจ
ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันยอมรับทุกข์มากมายหลายอย่างจนนับไม่ถ้วน ในสงสารเป็นอเนก เพื่อประโยชน์แก่พระองค์
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันได้รับสุขย่อมอนุโมทนา และในคราวที่ได้รับทุกข์ก็ไม่เสียใจ เป็นผู้ยินดีแล้วในที่ทุกแห่งเพื่อประโยชน์แก่พระองค์
ข้าแต่พระมหามุนี พระสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดยบรรดาอันสมควร เสวยสุขและทุกข์แล้ว ได้บรรลุซึ่งพระโพธิญาณ หม่อมฉันได้ร่วมมาเป็นอันมากกับพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ผู้เป็นนายกของโลก เป็นเทพผู้ประเสริฐ พระองค์ก็ได้ร่วมมาเป็นอันมาก กับพระสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ผู้เป็นนาถะของโลก
ข้าแต่พระมหามุนี อธิการของหม่อมฉันมีมากเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อนฉันเมื่อแสวงหาพุทธธรรมอยู่ ก็ได้เป็นบริจาริกาผู้รับใช้ของพระองค์ ในสี่อสงไขยแสนกัป พระมหาวีรเจ้าพระนามว่าทีปังกร ผู้เป็นนายกของโลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ประชาชนในปัจจันตประเทศ มีใจยินดีนิมนต์พระตถาคตเจ้าแล้ว ช่วยกันแผ้วถางหนทางสำหรับเป็นที่เสด็จพระพุทธดำเนิน
ณ กาลครั้งนั้น พระองค์เป็นพราหมณ์ นามว่า สุเมธ ตกแต่งหนทางยาว เพื่อพระสุคตเจ้าผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวง หม่อมฉันมีสมภพในสกุลพราหมณ์ เป็นหญิงสาวมีนามว่า สุมิตตา เข้าไปสู่สมาคม ถือดอกบัวไป ๘ กำ เพื่อบูชาพระศาสดา แต่ได้ถวายพระองค์ผู้เป็นฤาษีอุดม ในท่ามกลางประชุมชน
ครั้งนั้น หม่อมฉันได้เห็นพระองค์ประกอบสุภกิจอยู่นาน มีความกรุณา เมื่อฤาษีนั้นเดินเลยไปแล้ว ยังดึงใจหม่อมฉันให้นิยม จึงได้สำคัญว่า ชีวิตของเรามีผล ครั้งนั้น หม่อมฉันเห็นความพยายามของพระองค์นั้นมีผล จึงได้ถวายดอกบัวแก่พระองค์ผู้เป็นฤาษี ด้วยบุญที่ทำมาก่อน แม้จิตของหม่อมฉันเลื่อมใสในพระสัมพุทธเจ้า หม่อมฉันยังมีจิตเลื่อมใสในพระองค์ผู้เป็นฤาษีมีมนัสสูง มิได้เห็นสิ่งอื่นที่ควรถวาย จึงได้ถวายดอกบัวแก่พระองค์ผู้เป็นฤาษีพร้อมด้วยกล่าวว่า
ข้าแต่พระฤาษี ดอกบัว ๕ กำ จงมีแก่ท่าน ดอกบัว ๓ กำ จงมีแก่ดิฉัน
ข้าแต่ท่านพระฤาษี ดอกบัวเหล่านั้น จงมีเสมอกับด้วยท่านนั้น เพื่อประโยชน์แก่โพธิญาณของท่าน

(เนื้อความจากพุทธจริยา) พระพุทธองค์ทรงปลอบพระนางยโสธราด้วยพระพุทธดำรัสอันอ่อนโยนว่า
“ยโสธราเอย ! พวกเราทั้งหลายเหมือนเนื้อที่ติดบ่วง หรือนกที่หมกตัวอยู่ในกรง ตถาคตได้ทำลายบ่วง และกรงออกไปก่อน หาใช่เพียงเพื่อเอาตัวรอดเพียงคนเดียวไม่ เมื่อตถาคตหลุดพ้นแล้ว จึงได้นำกำลังมาช่วยพวกเราทั้งหลาย กำลังของเราคือ “ทศพลญาณ” อันมีอำนาจบันดาลให้ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของเรา หลุดพ้นจากบ่วงและกรงเช่นเดียวกับเรา บุคคลจะมีความสุขเต็มที่ ก็เพราะเป็นอิสระปราศจากเครื่องผูกพัน เที่ยวไปได้ตามปรารถนา เหมือนเนื้อในป่าที่ไม่ติดบ่วง ด้วยประการฉะนี้ ความทุกข์ทั้งปวงก็จะหลุดร่วงไปเอง

ยโสธราเอย ๖ ปี ที่เราจากไป ไปเพื่อประโยชน์ของเธอ ของพระประยูรญาติ และของชาวโลกทั้งมวล บัดนี้เราได้ค้นพบสิ่งที่เราปรารถนาแล้ว และได้นำมาฝาก
สิ่งนี้คือ อมตธรรม อันบุคคลผู้ดื่มแล้ว ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บตาย อีกต่อไป ยโสธรา …

เราได้รู้แจ้งแล้วว่า ความสุขอันเป็นโลกีย์ทั้งมวลมีที่สุดเป็นทุกข์
นันทิราคะ คือ ความกำหนัด อาศัยความเพลิดเพลินทั้งมวล มีที่สุดเป็นความเศร้า
ความพอใจในภพทั้งปวง เป็นการร่านไป ในหลุมถ่านเพลิงอันลุกโพลง
ความสงบเยือกเย็นอันปราศจากกิเลสนั้นแลคือ รางวัลอันประเสริฐที่มนุษย์ควรขึ้นให้ถึง ยโสธราเอย !
ไม่มีความสุขใด เสมอด้วยความสงบ ไม่มีความสงบใด เสมอด้วยพระนิพพาน..
———————–
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ