มหาโคสิงคสาลสูตร

มหาโคสิงคสาลสูตร
การสนทนาธรรมเรื่องผู้ทำให้ป่างาม

    สมัย หนึ่ง พระเถระสาวก (๕ รูป) คือ ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสป ท่านพระอนุรุทธ ท่านพระเรวตะ และท่านพระอานนท์ ได้ชวนกัน ไปหาท่าน พระสารีบุตร เพื่อฟังธรรม เมื่อถึงแล้วท่านพระสารีบุตร ได้ตั้งหัวข้อถามกับ ทุกคน ดังนี้ว่า

    "ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบาน สะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ป่าโคสิงคสาลวัน  ป่างามด้วยภิกษุมีคุณสมบัติเช่นไร"

ความเห็นพระอานนท์ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ๕ อย่างคือ๑. เป็นพหูสูต ๒. เป็นผู้มีสติ ๓. เป็นผู้มีคติ ๔. เป็นผู้มีความเพียร ๕. เป็นพุทธอุปัฏฐาก)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ เป็นพหูสูต(ศึกษาเล่าเรียนคำสอนมามาก) เป็นผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ (สามารถจำคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ไม่ลืม ไม่สับสน) สดับมากแล้ว ทรงไว้แล้ว สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็น ภิกษุนั้น แสดงธรรมแก่บริษัท ๔ ด้วยบทและพยัญชนะอันราบเรียบ… ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระเรวตะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านอยู่ป่า)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ เป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในความหลีกเร้น ประกอบเนืองๆ ซึ่งเจโตสมถะอันเป็นภายใน มีฌานอันไม่ห่างเหินแล้ว ประกอบด้วย วิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระอนุรุทธะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านมีตาทิพย์)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วย ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ ของมนุษย์ ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระมหากัสสปะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านธุดงค์)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ กระทำตนเองและกล่าวสรรเสริญคุณการอยู่ในป่าเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือไตรจีวรเป็นวัตร มีความปรารถนา น้อย เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้สงัด ไม่คลุกคลี ปรารถความเพียร ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อม ด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา ถึงพร้อมด้วยวิมุติ ถึงพร้อมด้วยวิมุติญาณทัสสนะ และกล่าวสรรเสริญคุณ ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระโมคคัลลานะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านแสดงฤทธิ์)
“ภิกษุ ๒ รูป ในพระศาสนานี้ กล่าวอภิธรรมกถา เธอทั้ง ๒ นั้น ถามกันและกัน ถามปัญหากันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพักด้วย และธรรมกถาของเธอทั้ง ๒ นั้น ย่อมเป็นไปด้วย ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระสารีบุตร (เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายด้านมีปัญญามาก)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจและไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเช้า-เที่ยง-เย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้น ได้ในเวลาเช้า-เที่ยง-เย็น ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ลำดับนั้น ท่านสารีบุตร ได้กล่าวกะท่านผู้มีอายุเหล่านั้นดังนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย ปฏิภาณตามที่เป็นของตนๆ พวกเราทุกรูปพยากรณ์แล้ว มาไปกันเถิด พวกเราจักเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ 

    ครั้นแล้ว จักกราบทูลเนื้อความนี้ แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรง พยากรณ์ แก่พวกเราอย่างใด พวกเราจัก ทรงจำข้อความนั้นไว้อย่างนั้น. ท่านผู้มี อายุเหล่านั้น รับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว...

   เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า คำของใครหนอเป็นสุภาษิต?

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร คำของพวกเธอทั้งหมด เป็นสุภาษิตโดยปริยาย ก็แต่พวกเธอจงฟังคำ ของเรา คำถามว่า ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็น ปานไรนั้น เราตอบว่า

    "ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังภัตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า จิตของเรายังไม่หมดความ ยึดมั่นถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพียงใด เราจักไม่ทำลายบัลลังก์ (ไม่เลิกปฏิบัติ) นี้เพียงนั้น ดังนี้ ดูกรสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล.

……………………………………………………..
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ