พระนางสามาวดี

ครั้งนั้นแล สตรี ๕๐๐ นาง บริวารของพระนางสามาวดี แม้จะบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปสำนักของพระศาสดาเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้าตามกาลอันสมควร

ทั้งนี้เพราะพระราชาไม่ทรงมีศรัทธา
เพราะเหตุนั้น เมื่อพระทศพลเสด็จพระราชดำเนินระหว่างถนน เหล่าสตรีทั้งหลายได้โอกาสเพื่อจะชมพระบารมีพระศาสดา

แต่ครั้นเมื่อหน้าต่างทั้งหลายในพระราชวังมีไม่พอ สตรีเหล่านั้นจึงเจาะช่องน้อยในห้องของตนมองดูพระศาสดา

ต่อมาวันหนึ่ง พระนางมาคัณฑิยา เสด็จดำเนินออกจากปราสาทของพระองค์ ไปยังที่อยู่ของสตรีเหล่านั้น เห็นช่องน้อยในห้องจึงทรงถามว่า นี้อะไร

เมื่อสตรีเหล่านั้นไม่รู้เรื่องการผูกอาฆาตในพระศาสดาของพระนางมาคัณฑิยาจึงทูลว่า
“พระศาสดาเสด็จมาพระนครนี้ พวกเรายืนที่ตรงนั้น จักเห็น จักบูชาพระศาสดา เจ้าค่ะ

พระนางมาคัณฑิยาทรงเห็นว่า สตรีเหล่านี้เป็นอุปัฏฐายิกาของพระสมณโคดมนั้นจึงทรงพลอยผูกอาฆาตในสตรีเหล่านี้ไปด้วย ดังนั้นจึงได้เสด็จไปกราบทูลพระราชาว่า

“ข้าแต่พระมหาราชเจ้า สตรีเหล่านี้ พร้อมกับพระนางสามาวดี ปรารถนาจะออกไปภายนอก มันจะทำชีวิตของพระองค์ให้ม้วยมรณ์ที่สุด ๒-๓ วัน เพคะ “

พระราชาไม่ทรงเชื่อว่าสตรีเหล่านั้น จักกระทำอย่างนั้น แม้เมื่อพระนางมาคัณฑิยาทูลอีก ก็ไม่ทรงเชื่ออยู่นั่นเอง

ครั้งนั้น แม้เมื่อพระนางกราบทูลถึง ๓ ครั้ง พระราชาก็มิได้ทรงเชื่อ พระนางมาคัณฑิยาจึงกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อ ขอพระองค์โปรดเสด็จไปยังที่อยู่ของสตรีเหล่านั้นแล้วทรงสอบสวนดู เพคะ “

พระราชาเสด็จไปพบช่องในห้องทั้งหลายจึงตรัสถามว่า อะไร เมื่อเขากราบทูลความข้อนั้น ก็มิได้ทรงกริ้วสตรีเหล่านั้น ไม่ตรัสอะไร เพียงรับสั่งให้ปิดช่องเหล่านั้นเสีย

พระนางมาคัณฑิยาตรัสว่า พระนางสามาวดีกับบริวารไม่ทรงมีความเยื่อใย หรือความรักในพระองค์ เมื่อหน้าต่างมีไม่พอ จึงเจาะช่องเหล่านั้น สร้างโอกาสในการมองดูพระสมณโคดม เสด็จไประหว่างถนน

ตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็มีรับสั่งให้ปิดช่องทั้งหลายเสีย แล้วให้ทำหน้าต่างมีช่องน้อยไว้ในห้องทั้งปวง ได้ยินว่า หน้าต่างมีช่องน้อยทั้งหลาย เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในครั้งนั้น

พระนางมาคัณฑิยาหาความด้วยเรื่องไก่

พระนางมาคัณฑิยานั้นเมื่อไม่อาจทำพระราชาให้ทรงกริ้วด้วยเหตุนั้นได้

วันหนึ่ง จึงได้ส่งข่าวไปบอกแก่นายมาคัณฑิยะผู้เป็นอา

ให้ส่งไก่ที่ตายแล้ว ๘ ตัว และไก่ที่ยังเป็นมา ๘ ตัว เมื่อมาแล้ว จงยืนอยู่ที่บันได

เมื่อมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ก็จงหาเหตุอย่าเข้ามา จงส่งไก่เป็น ๘ ตัวมาก่อน ส่งไก่ตายนอกนี้มาภายหลัง”

วันหนึ่งเมื่อทำการรับใช้อยู่ในที่เป็นที่เสวยน้ำจัณฑ์ของพระราชา นายมาคัณฑิยะผู้เป็นอาก็มาตามที่ได้นัดแนะกันไว้

เมื่อมหาดเล็กไปทูลพระราชาให้ทรงทราบก็ทรงรับสั่งว่า “จงเข้ามา“

นายมาคัณฑิยะก็กล่าวว่า

“เราจักไม่เข้าไปสู่ที่ที่เป็นที่เสวยน้ำจัณฑ์ของพระราชา“

ฝ่ายพระนางมาคัณฑิยาส่งมหาดเล็กไปด้วยคำว่า “พ่อ จงไปสู่สำนักแห่งอาของเรา“

ครั้นมหาดเล็กไปแล้ว ก็กลับมาพร้อมกับไก่เป็น ๘ ตัวซึ่งนายมาคัณฑิยะนั้นส่งมาถวาย แล้วมากราบทูลว่า

“ข้าแต่สมมติเทพ ท่านปุโรหิต ส่งเครื่องบรรณาการมาแล้ว“
พระราชาตรัสว่า

“ ดีแท้ แกงอ่อมเกิดขึ้นแก่พวกเราแล้ว ใครหนอแล ? ควรแกง “

พระนางมาคัณฑิยาทูลว่า

“เทวะ เราจักรู้กันว่า สตรีเหล่านั้นมีความรักหรือไม่มีความรักในพระองค์ ขอพระองค์โปรดส่งไก่ ๘ ตัวไปให้สตรีเหล่านั้น แกงถวายพระองค์สิ เพคะ”

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วรับสั่งว่า จงแกงไก่เหล่านี้ส่งไป ทรงส่งไก่ ๘ ตัวแก่พระนางสามาวดี

พระอริยสาวิกาผู้เป็นโสดาบัน รู้ว่า ไก่ยังเป็นอยู่ จักแกงได้อย่างไร จึงตรัสปฏิเสธว่า อย่าเลย ไม่ปรารถนาแม้แต่จะเอาพระหัตถ์จับต้อง

พระนางมาคัณฑิยากราบทูลว่า ข้อนั้นยกไว้ก็ได้ พระมหาราชเจ้า ขอได้โปรดทรงส่งไก่เหล่านี้นี่แหละไปเพื่อให้แกงถวายพระสมณโคดม พระราชาก็ทรงทำอย่างนั้น

พระนางมาคัณฑิยาทรงให้คนไปเปลี่ยนเป็นไก่ตายเสียในระหว่างทางแล้วส่งไปด้วยรับสั่งว่า พระนางสามาวดีจงแกงไก่เหล่านี้ถวายพระสมณโคดม

พระนางสามาวดีนั้น เพราะทรงเข้าพระทัยอย่างนั้น และเพราะมีพระทัยจดจ่อต่อ พระทศพล จึงแกงไก่ส่งไปถวายแด่พระทศพล

พระนางมาคัณฑิยาทูลว่า ทอดพระเนตรเอาเถิด พระมหาราชเจ้า ดังนี้ ก็ไม่สามารถทำพระราชาให้ทรงกริ้วได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้.

พระนางมาคัณฑิยาหาความด้วยเรื่องงู
ก็พระเจ้าอุเทนนี้ประทับอยู่ในสถานที่อยู่ของบรรดานางเทวีเหล่านั้น พระองค์หนึ่ง ๆ พระองค์ละ ๗ วัน

ส่วนพระนางมาคัณฑิยานี้ ใช้ให้คนเอาลูกงูเห่าตัวหนึ่งใส่ไว้ในปล้องไม้ไผ่ วางไว้ ณ สถานที่อยู่ของตน

พระราชานั้นเมื่อเสด็จไปที่ใดก็จะทรงถือพิณชื่อหัตถิกันตะไปด้วยเสมอ

เวลาพระราชาเสด็จมาหาตน
พระนางมาคัณฑิยาก็ใส่ลูกงูนั้นไว้ภายในพิณและปิดช่องไว้ กราบทูลว่า

“พระมหาราชเจ้า เวลาเสด็จไปหานางสามาวดี ขึ้นชื่อว่านางสามาวดีเข้าข้างพระสมณโคดม ไม่นำพาพระองค์เลย ทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คิดแต่จะให้โทษพระองค์เท่านั้น ขอพระองค์อย่าทรงประมาท”

พระราชาทรงถึงสถานที่อยู่ของพระนางสามาวดี ประทับอยู่ ๗ วัน ได้เสด็จไปนิเวศน์ของพระนางมาคัณฑิยาอีก ๗ วัน เมื่อพระราชาเสด็จมาพระนางมาคัณฑิยารับพิณจากพระหัตถ์ของพระราชามาเขย่าตรัสว่า

“พระมหาราชเจ้า อะไรอยู่ข้างในนี้เพคะ”

แล้วเปิดช่องให้งูออกไป เมื่องูเลื้อยออกมาก็ร้องว่า

“ว้าย งูอยู่ข้างใน” แล้วทิ้งพิณลง หนีไป

พระเจ้าอุเทนลงโทษพระนางสามาวดี

พระราชาทอดพระเนตรเห็นงู ก็ทรงสะดุ้งพระหฤทัย กลัวแต่มรณะ พระเนตรลุกโพลงด้วยความพิโรธว่า

“ หญิงเหล่านี้มาทำกรรมแม้เห็นปานนี้ ชิ ชิ เราก็ชั่วช้า ไม่เชื่อคำของนางมาคัณฑิยาผู้บอกความที่หญิงเหล่านี้เป็นคนลามก

ครั้งก่อนมันเจาะช่องไว้ในห้องทั้งหลายของตนนั่งอยู่แล้ว เมื่อเราส่งไก่ไปให้ก็ส่งคืนมาอีก วันนี้ปล่อยงูไว้บนที่นอน “

เวลานั้น พระราชาทรงตวาดด้วยความเกรี้ยวกราด เหมือนไฟไหม้ป่าไม้ไผ่ฉะนั้น และเหมือนเตาไฟใส่เม็ดเกลือลงไปฉะนั้น รับสั่งว่าจงเรียกสามาวดีกับบริวารมา

พวกราชบุรุษก็ไปเรียกพระนางสามาวดีนั้นทรงทราบว่าพระราชาทรงกริ้ว จึงให้ตรัสแก่เหล่าสตรีพวกนั้นว่า

“พระราชาทรงประสงค์จะฆ่าพวกเรา จึงเรียกมา วันนี้ พวกเราจงแผ่เมตตาเจาะจงแก่พระราชาตลอดเวลานะ”

พระราชาทรงเรียกหญิงเหล่านั้น ให้ทุกคนยืนเรียงกัน ทรงจับธนูคันใหญ่ ทรงสอดลูกธนูอาบยาพิษ

ประทับยืนเหนี่ยวธนูเต็มที่ ขณะนั้นสตรีทั้งหมดนั้นมีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ก็พากันแผ่เมตตาโดยเจาะจงแก่พระราชา

พระราชาก็ไม่สามารถยิงลูกธนู และปลดลูกธนูลงได้ พระเสโทก็หลั่งออกจากพระวรกาย พระวรกายสั่นเทิ้ม พระเขฬะไหลออกจากพระโอษฐ์ ไม่ทรงเห็นที่พึ่งที่ควรจะพึ่งได้

ลำดับนั้น พระนางสามาวดีกราบทูลพระราชาว่า พระมหาราชเจ้า ทรงลำบากหรือเพคะ
พระราชาตรัสว่า จริงจ้ะเทวี พี่ลำบาก ดีละ เจ้าจงเป็นที่พึ่งของพี่ด้วย พระนางสามาวดีกราบทูลว่า ดีละ พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงหันลูกธนูลงดินเพคะ

พระราชาก็ทรงปฏิบัติตาม พระนางอธิษฐานว่า ขอลูกธนูจงหลุดจากพระหัตถ์ของพระราชา ขณะนั้นลูกธนูก็หลุดแล้วพุ่งลงดินไป

ในขณะนั้นเอง พระราชาทรงดำลงในน้ำ เสด็จมาทั้งที่พระเกศาเปียก พระภูษาเปียก หมอบลงแทบพระบาทพระนางสามาวดีตรัสว่า

“เราฟั่นเฟือน เลือนหลง ทิศทั้งปวงย่อม
มืดตื้อแก่เรา สามาวดีเอ๋ย เจ้าจงต้านทานเราไว้ และเจ้าจงเป็นที่พึ่งของเรา “

พระนางสามาวดีสดับพระดำรัสของท้าวเธอแล้ว ก็มิได้กราบทูลว่า

“ ดีแล้ว สมมติเทพ พระองค์จงถึงหม่อมฉันเป็นที่พึ่งเถิด “

แต่กราบทูลว่า

“ ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันถึงผู้ใดว่าเป็นที่พึ่ง แม้พระองค์ก็จงถึงผู้นั้นแล ว่าเป็นที่พึ่งเถิด “

ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า

 “ถ้าเช่นนั้น เราขอถึงพระศาสดาว่าเป็นที่พึ่ง และเราจะให้พรแก่เจ้า “

พระนางสามาวดีจึงกราบทูลว่า

“ ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันขอรับพรนั้นไว้“

ท้าวเธอเสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทรงถึงพระศาสดาเป็นสรณะแล้ว ทรงนิมนต์ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์สิ้น ๗ วันแล้ว ทรงเรียกพระนางสามาวดีมาตรัสว่า

“เจ้าจงลุกขึ้นรับพร“
พระนางสามาวดีกราบทูลว่า

“ ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันไม่มีความต้องการด้วยสิ่งทั้งหลายมีเงินเป็นต้น
แต่ขอพระองค์จงพระราชทานพรนี้แก่หม่อมฉัน

: คือพระศาสดาพร้อมทั้งภิกษุ ๕๐๐ รูป จะเสด็จมา ณ ที่นี้เนืองนิตย์ได้โดยประการใด ขอพระองค์ทรงกระทำโดยประการนั้นเถิด หม่อมฉันจักฟังธรรม “

พระราชาถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงเสด็จมาในที่นี้เนืองนิตย์พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปเถิด พระเจ้าข้า“

พระศาสดาตรัสว่า : มหาบพิตร ธรรมดาการไปในที่เดียวเนืองนิตย์ย่อมไม่ควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะมหาชนเหล่าอื่นหวังที่จะได้สักการะพระพุทธเจ้าอยู่.

พระราชา : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์ทรงสั่งภิกษุไว้รูปหนึ่งเถิด.

พระศาสดาทรงสั่งพระอานนท์เถระแล้ว จำเดิมแต่นั้น พระอานนทเถระนั้นก็พาภิกษุ ๕๐๐ รูปไปสู่ราชสกุลเนืองนิตย์ พระเทวีแม้เหล่านั้น เลี้ยงพระเถระพร้อมทั้งบริวาร ฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์.

พระราชาทรงถวายจีวรแก่พระอานนท์

วันหนึ่ง หญิงเหล่านั้น ฟังธรรมกถาของพระเถระแล้ว เลื่อมใสได้กระทำการบูชาธรรมด้วยผ้าอุตราสงค์ ๕๐๐ ผืน อุตราสงค์ผืนหนึ่ง ๆ 

ย่อมมีค่าถึง ๕๐๐ พระราชาไม่ทรงเห็นผ้าสักผืนหนึ่งของหญิงเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า

“ ผ้าอุตราสงค์อยู่ที่ไหน ? “
พวกหญิง : พวกหม่อมฉันถวายแล้วแด่พระผู้เป็นเจ้า
.
พระราชา : พระผู้เป็นเจ้านั้น รับทั้งหมดหรือ ?

พวกหญิง :  เพคะ รับ (ทั้งหมด).

พระราชาเสด็จเข้าไปหาพระเถระแล้ว ตรัสถามความที่หญิงเหล่านั้นถวายผ้าอุตราสงค์ ทรงสดับความที่ผ้าอันหญิงเหล่านั้นถวายแล้ว และความที่พระเถระรับไว้แล้ว
จึงตรัสถามว่า

“ ท่านผู้เจริญ ผ้าทั้งหลายมากเกินไปมิใช่หรือ ? ท่านจักทำอะไรด้วยผ้ามีประมาณเท่านี้ ? “

พระเถระ : มหาบพิตร อาตมภาพรับผ้าไว้พอแก่อาตมภาพแล้ว จักถวายผ้าที่เหลือแก่ภิกษุทั้งหลายผู้มีจีวรเก่า.

พระราชา : ภิกษุทั้งหลาย จักทำจีวรเก่าของตนให้เป็นอะไร

พระเถระ : เธอจักให้แก่ภิกษุผู้มีจีวรเก่ากว่าทั้งหลาย.

พระราชา : ภิกษุเหล่านั้นจักทำจีวรเก่าของตนให้เป็นอะไร
พระเถระ : เธอจักทำให้เป็นผ้าปูนอน.

พระราชา : เธอจักทำผ้าปูนอนเก่าให้เป็นอะไร
พระเถระ : เธอจักทำให้เป็นผ้าปูพื้น.

พระราชา : เธอจักทำผ้าปูพื้นเก่าให้เป็นอะไร
พระเถระ : ขอถวายพระพร เธอจักทำให้เป็นผ้าเช็ดเท้า.

พระราชา : เธอจักทำผ้าเช็ดเท้าเก่าให้เป็นอะไร

พระเถระ : เธอจักโขลกให้ละเอียดแล้ว ผสมด้วยดินเหนียวฉาบฝา.พระราชา ท่านผู้เจริญ ผ้าทั้งหลายที่ถวายแด่พวกพระผู้เป็นเจ้าจักไม่เสียหาย แม้เพราะทำกรรมมีประมาณเท่านั้นหรือ

พระเถระ : อย่างนั้น มหาบพิตร.
พระราชาทรงเลื่อมใสแล้ว รับสั่งให้นำผ้า ๕๐๐ อื่นอีกมากให้ตั้งไว้แทบบาทมูลของพระเถระแล้ว.

เขาว่า ในชาติก่อน พระเถระได้ถวายชิ้นผ้าบนฝ่าพระหัตถ์ พร้อมด้วยเข็มเล่มหนึ่งแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งในเวลาเย็บผ้า

ด้วยผลของเข็ม พระเถระนั้นได้เป็นผู้มีปัญญามากในอัตภาพนี้ ทั้งได้ผ้า ๕๐๐ ผืน ตามทำนองนี้ด้วยผลแห่งชิ้นผ้า.

พระนางสามาวดีถูกไฟคลอก

แต่นั้น พระนางมาคัณฑิยาไม่เห็นกิจที่จะพึงทำอย่างอื่น จึงกราบทูล ว่า พระมหาราชเจ้า พวกเราจะไปพระอุทยานกันนะเพคะ

พระราชา ทรงอนุญาตว่า ดีละเทวี ดังนี้แล้ว พระนางจึงให้เรียกอามาสั่งว่า

ขออาจงไปปราสาทของนางสามาวดี ให้เปิดเรือนคลังผ้าและเรือนคลังน้ำมันแล้ว ชุบผ้าในตุ่มน้ำมันแล้วพันเสา

ขังพระนางสามาวดีพร้อมทั้งบริวารไว้ข้างใน ปิดประตู ลั่นดาลภายนอก เอาคบไฟมีด้ามจุดไฟตำหนัก ลงแล้วจงไปเสีย

นายมาคัณฑิยะนั้นขึ้นสู่ปราสาท ให้เปิดเรือนคลังทั้งหลาย ชุบผ้าในตุ่มน้ำมันแล้วเริ่มพันเสา.

ลำดับนั้น หญิงทั้งหลายมีพระนางสามาวดีเป็นประมุข กล่าวกะนายมาคัณฑิยะอยู่ว่า
“ นี่อะไรกัน อา “

นายมาคัณฑิยะเข้าไปหาแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า

“ แม่ทั้งหลาย พระราชารับสั่งให้พันเสาเหล่านี้ด้วยผ้าชุบน้ำมัน

เพื่อประโยชน์แก่การทำให้มั่นคง ธรรมดาในพระราชวัง เรื่องที่กระทำ จะเป็นเรื่องดี หรือเรื่องชั่ว เป็นของรู้ได้ยาก

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ