ปัตจัตตัง ธรรมทาน หน้าที่18 ..ปวดขา..

ปัตจัตตัง ธรรมทาน หน้าที่18
………………………………………………
..ปวดขา..

ลูกศิษย์ปวดขาขณะนั่งกรรมฐาน
กำหนดปวดหนอตามสภาวะแต่ไม่หาย
ขอคำปรึกษาว่าจะไปต่ออย่างไร

ตอบไปว่า..
วิปัสสนากรรมฐานคือการงานของกายกับจิต
ใช้สติพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
เมี่อกายเวทนาใช้สติพิจารณากาย
กำหนดตรงตัวว่าทุกข์หนอ ทุกข์หนอ

จิตที่ซัดส่าย ฟุ้งซ่าน อาฆาต จองเวร
หรือหดหู เศร้าหมอง ก็เรียกว่า เวทนา
กำหนดตรงตัว เช่นเดียวกันว่า ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ

“หนูต้องใช้สติ พิจารณา ว่า เวทนาที่ปรากฎนี้ มันเป็นทุกข์ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ยกเวทนาขึ้นมา เป็นสภาวะธรรม
แล้วกำหนดว่า ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ไม่เกินห้าครั้ง หนูจะรู้ถึงสาเหตุที่ทุกข์ว่าเกิดจากอะไร”

ลูกศิษย์ตอบว่า ปวดมาหลายปีแล้ว
ทุกครั้งที่นั่ง มันปวดแบบนั่งต่อไม่ได้
เห็นเวทนาทุกครั้ง แต่ไม่เคยกำหนดทุกข์ กำหนดแต่ปวด

“ไม่เป็นไร กำหนดใหม่ เปลี่ยนจากปวด เป็นทุกข์หนอ
ใช้สติ เข้าไปกำหนดสิ่งที่เกิดขึ้นทางกายและใจ เพื่อให้เกิดปัญญา แยกจิต ดูเวทนาให้ชัด ว่ากายทุกข์ ตามความเป็นจริง สติมาปัญญาก็จะเกิด”

“คุณแม่คะ คุณแม่คะ หนูหายปวดขาแล้วค่ะ หนูกำหนดทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ก็เห็นขึ้นที่ใจว่า หนูเคยตีหมาขาหัก ถ้าหนูรู้แบบนี้คงหายปวดขานานแล้ว”

“ผลของกรรมยุติธรรมเสมอ ทุกข์เป็นสภาวะธรรม
ปัญญารู้แจ้งในเหตุ ทุกข์จึงดับ
หากหนูไม่นั่งวิปัสสนากรรมฐาน การชดใช้ก็ไม่เกิดผล
อาจต้องขาหักเหมือนหมาด้วยสาเหตุอะไรก็ได้ “

วิชาของพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้เฉพาะตัว
เฉพาะตน ทุกการกระทำมีผลตอบแทนเสมอ
ทั้งกรรมดี และกรรมดำ

ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

ใช้สติ..พิจารณาธรรม..ทุกอริยบท
ลืมตา..ก็อาราธนาธรรม..เป็นเครื่องอยู่
มีศรัทธา..ในพระรัตนตรัย..รักษาศีล..ให้ทาน..เจริญภาวนา

ชีวิตมีครั้งเดียว..ไม่มีชีวิตสำรอง
อะไรที่เป็นทาน..อะไรที่เป็นธรรม
เก็บเกี่ยวแบ่งปันตามฐานะแห่งธรรม

—ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์—-

ใกล้เข้าพรรษา..หาเวลาไปปฏิบัติธรรม
รักษาศีล..ให้หมดจด
เจริญสติปัฏฐานสี่
ปลูกศีล..ได้ศีล
ปลูกทาน..ได้ทาน
ปลูกภาวนา..ได้ปัญญา

พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ผู้ใดเห็นทุกข์..ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม..ผู้นั้นเห็นเราตถาคต

สาธุ ปัตจัตตังธรรมทาน
………………………………………………………
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ