นขสิขสูตร  

นขสิขสูตร  
ว่าด้วยอุปมาด้วยฝุ่นที่ปลายเล็บ
[๑๑๒๑]    ครั้งนั้น    พระผู้มีพระภาคทรงใช้ปลายพระนขาช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย         แล้วรับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสถามว่า  “ภิกษุทั้งหลาย   เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ฝุ่นเล็กน้อยนี้ที่เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมา กับแผ่นดินใหญ่นี้อย่างไหนจะมากกว่ากัน”
           ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ    แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า  ฝุ่นที่พระองค์ทรงใช้ปลายพระนขาช้อนขึ้นมามีเพียงเล็กน้อย    ฝุ่นเล็กน้อยที่พระองค์ทรงใช้ปลายพระนขาช้อนขึ้นมา    เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว    คำนวณไม่ได้ เทียบเคียงกันไม่ได้    หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว”
           “ภิกษุทั้งหลาย    ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน    บุคคลผู้เป็นอริยสาวกใด  รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า    ‘นี้ทุกข์    นี้ทุกขสมุทัย    นี้ทุกขนิโรธ    นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’    ทุกข์ที่หมดสิ้นไปของบุคคลผู้เป็นอริยสาวกนั้น    ผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ    ผู้รู้ยิ่ง  มีมากกว่า   ที่เหลืออยู่มีประมาณน้อย    เมื่อเทียบกับกองทุกข์ซึ่งมีอยู่ก่อน   ที่หมดสิ้นไปแล้ว    คำนวณไม่ได้  เทียบเคียงกันไม่ได้    หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว    อย่างมากมีได้เพียง    ๗    ชาติ
           ภิกษุทั้งหลาย    เพราะเหตุนั้น    เธอทั้งหลายพึงทำความเพียรเพื่อรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า    ‘นี้ทุกข์    นี้ทุกขสมุทัย    นี้ทุกขนิโรธ    นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๑๙  ข้อ ๑๑๓๑  หน้า ๖๓๔
 ………………..
 
[๕๓]    ถ้าภิกษุเสพเมตตาจิตแม้ชั่วลัดนิ้วมือเดียว    ภิกษุนี้เราเรียกว่า    อยู่ไม่ห่างจากฌาน    ทำตามคำสอนของพระศาสดา    ปฏิบัติตามโอวาท    ฉันอาหารบิณฑบาตของชาวบ้านอย่างไม่สูญเปล่า    ไม่จำเป็นต้องพูดถึงภิกษุผู้ทำเมตตาจิตนั้นให้มาก    
ถ้าภิกษุเจริญเมตตาจิตแม้ชั่วลัดนิ้วมือเดียว    ภิกษุนี้เราเรียกว่า    อยู่ไม่ห่างจากฌาน            ทำตามคำสอนของพระศาสดา    ปฏิบัติตามโอวาท    ฉันอาหารบิณฑบาตของชาวบ้านอย่างไม่สูญเปล่า    ไม่จำเป็นต้องพูดถึงภิกษุผู้ทำเมตตาจิตนั้นให้มาก    
ถ้าภิกษุมนสิการเมตตาจิตแม้ชั่วลัดนิ้วมือเดียว    ภิกษุนี้เราเรียกว่า    อยู่ไม่ห่างจากฌาน    ทำตามคำสอนของพระศาสดา    ปฏิบัติตามโอวาท    ฉันอาหารบิณฑบาตของชาวบ้านอย่างไม่สูญเปล่า    ไม่จำเป็นต้องพูดถึงภิกษุผู้ทำเมตตาจิตนั้น
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๒๐  ข้อ ๕๓  หน้า ๑๐
 …………..,
[๗๖]    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    ภิกษุทั้งหลาย    ความเสื่อมญาติเป็นเรื่องเล็กน้อย           แต่ความเสื่อมปัญญาเลวร้ายกว่าความเสื่อมทั้งหลาย
ความเจริญด้วยญาติเป็นเรื่องเล็กน้อย    แต่ความเจริญด้วยปัญญายอดเยี่ยมกว่าความเจริญทั้งหลาย    เพราะเหตุนั้น    เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า    “เราทั้งหลายจักเจริญด้วยความเจริญทางปัญญา”    เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล  
ความเสื่อมโภคทรัพย์เป็นเรื่องเล็กน้อย    แต่ความเสื่อมปัญญาเลวร้ายกว่าความเสื่อมทั้งหลาย  
ความเจริญด้วยโภคทรัพย์เป็นเรื่องเล็กน้อย    แต่ความเจริญด้วยปัญญายอดเยี่ยมกว่าความเจริญทั้งหลาย    เพราะเหตุนั้น    เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า    “เราทั้งหลายจักเจริญด้วยความเจริญทางปัญญา”    เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล    
ความเสื่อมยศเป็นเรื่องเล็กน้อย    แต่ความเสื่อมปัญญาเลวร้ายกว่าความเสื่อมทั้งหลาย    
ความเจริญด้วยยศเป็นเรื่องเล็กน้อย    แต่ความเจริญด้วยปัญญายอดเยี่ยมกว่าความเจริญทั้งหลาย    เพราะเหตุนั้นเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า    “เราทั้งหลายจักเจริญด้วยความเจริญทางปัญญา”    เธอทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล    
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๒๐  ข้อ ๗๖  หน้า ๑๔
——————-
สาธยายวันที่6กันยายน 2567
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ