โทษของความตระหนี่

..โทษของความตระหนี่..

 เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี ทรงปรารภอานันทเศรษฐี ความว่า ในกรุงสาวัตถี เศรษฐีชื่ออานันทะ มีสมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ 

แต่เป็นคนตระหนี่มาก ได้ฝังทรัพย์ไว้ ๕ แห่ง ไม่ยอมบอกแก่บุตรของตน เมื่อจะตาย มีความหม่นหมองเพราะความตระหนี่

ตายแล้วไปเกิดเป็นลูกของหญิงจัณฑาลคนหนึ่ง ซึ่งอยู่อาศัยใกล้ประตูพระนครนั้น เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงทราบว่า อานันทเศรษฐีทำกาละแล้วรับสั่งให้เรียกมูลสิริผู้เป็นบุตรเข้ามาเข้าเฝ้า ทรงตั้งให้เป็นเศรษฐีแทนพ่อ

 ตระกูลคนจัณฑาลเหล่านั้น รับจ้างทำงานร่วมกัน พอได้ค่าจ้างพอเลี้ยงตัวครอบครัวเป็นวันๆไป เมื่อถือปฏิสนธิของทารกนั้น 

ทำให้ไม่ได้ค่าจ้าง ทั้งไม่ได้อาหารมาก
ได้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ทรงอยู่ได้เท่านั้น

จึงประชุมปรึกษากันว่า ในระหว่างพวกเรานี้คงมีหญิงกาลกิณีอยู่เป็นแน่จึงได้แบ่งแยกกันออกไป

ให้บิดามารดาของเด็กนั้นออกไปที่อื่น ทำให้ได้รับความลำบากอดอยากยากแค้นตลอดเวลาที่ลูกอยู่ในท้อง

พอคลอดออกมา ทารกนั้นมีมือ เท้า นัยน์ตา หู จมูก ปาก ไม่ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ มีอวัยวะวิกล มีรูปร่างน่าเกลียดมาก ดุจปีศาจคลุกฝุ่น ถึงจะเป็นเช่นนั้น พ่อแม่ก็ไม่ยอมละทิ้งบุตรของตน ย่อมมีความเยื่อใยรักใคร่อยู่เสมอ

นางเลี้ยงลูกมาด้วยความยากลำบาก ถ้าวันไหนพาลูกไปด้วยวันนั้นจะไม่ได้อะไรเลย วันไหนให้ลูกอยู่บ้าน แม่ไปหารับจ้างเอง วันนั้นจึงได้ค่าจ้างมาเลี้ยงลูก

 เมื่อลูกโตขึ้นมาพอสมควรแล้ว จึงกล่าวกับลูกว่า “พ่อแม่มีความลำบากมากพ่อแม่ไม่อาจเลี้ยงเจ้าได้ อาหารและวัตถุทั้งหลาย มีข้าว เป็นต้น ที่เขาจัดไว้เพื่อคนกำพร้าอนาถาและคนเดินทางในเมืองนี้มีอยู่ เจ้าจงไปขอทานเขากินเถิด” 

แล้วปล่อยบุตรนั้นไป เด็กนั้นก็เที่ยวขอทาน เขากินไปตามลำดับเรือน เมื่อไปถึงที่ตนเกิดคราวเป็นอานันทเศรษฐี ระลึกชาติได้จึงเข้าไปสู่เรือนของตน

ไม่มีใครสังเกตเขาเลย พอถึงซุ้มประตูที่ ๔ พวกบุตรของมูลสิริเศรษฐีเห็นแล้วมีความหวาดกลัวมากจากรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์ถึงกลับร้องไห้ คนทั้งหลายในบ้านนั้นจึงพาขับไล่เด็กนั้นว่า

เอ็งจงออกไปคนกาลกิณี โบยพลางนำออกไปพลาง แล้วโยนไว้ที่กองหยากเยื่อ

พระศาสดา เสด็จไปบิณฑบาตกับพระอานนทเถระ เมื่อไปถึงที่นั้นจึงทอดพระเนตรดูพระเถระ พระเถระจึงทูลถามแล้วตรัสบอกพฤติการณ์นั้น พระเถระให้เชิญมูลสิริเศรษฐีผู้บุตรมา

พวกประชาชนก็มา ประชุมกันเป็นการใหญ่ พระศาสดาตรัสเรียกมูลสิริเศรษฐีมาแล้ว ตรัสว่า ท่านรู้จักทารกนั้นไหม ?

มูลสิริเศรษฐีทูลว่า ไม่รู้จักพระเจ้าข้า

จึงตรัสบอกว่า ทารกนั้นคืออานันทเศรษฐี ผู้บิดาของท่าน
แล้วยังทารกนั้นให้บอกขุมทรัพย์ด้วยพระดำรัสว่า

อานันทเศรษฐีท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งแก่บุตร ของท่าน

เบื้องแรกมูลสิริเศรษฐียังไม่เชื่อครั้นขุดขุมทรัพย์ได้ถูกต้อง จึงเชื่อและเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้าได้ขอถึงพระศาสดาว่าเป็นสรณะ

พระบรมศาสดาจึงทรงแสดงธรรมแก่มูลสิริเศรษฐีว่า

“ถึงแม้ว่าคนเราจะมีบุตร มีทรัพย์มากขนาดเป็นเศรษฐี ทรัพย์ก็ดี บุตรก็ดีหากทำประโยชน์อะไรไม่ได้ ไม่สามารถจะยังสุขอะไรให้เกิดแก่ตนได้
ดูตัวอย่างอานันทเศรษฐีเถิดท่านทั้งหลาย”
…………………………………………………

เกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาล
ตายแล้วเกิดใหม่..เกิดเป็นลูกขอทาน

มีก็เหมือนไม่มี..น่าคิดจริงหนอ

..ทำบุญ..ทำทานกันไว้เถิด..
..เกิดเป็นคน..ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่..
..เคยทำบุญทำคุณปางก่อนใด..
..ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า..

..เนื้อเพลงพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 9 บางส่วน..

..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..