เรื่องนางกาลียักษิณี ผู้ผูกอาฆาตจองเวร
ชายหนุ่มคนหนึ่งในนครสาวัตถี เมื่อบิดาตายแล้วได้ทำการงานแทนบิดาอย่างหนัก มารดาจึงจะหาหญิงมาช่วยเขาทำงาน เพื่อแบ่งเบาภาระ
ชายหนุ่มจึงขอให้มารดาไปขอหญิงกุมารีที่ตนชอบใจมาเป็นภรรยา แต่อยู่ด้วยกันแล้วพบว่าหญิงกุมารีนั้นเป็นหมัน ไม่สามารถมีลูกได้
มารดาจึงบอกบุตรชายว่าตระกูลของเราต้องมีลูกมีหลาน แม่จะเลือกภรรยาใหม่ให้ลูกสักคน แต่บุตรชายห้ามไว้ยังไม่อยากมีภรรยาอีกคน
ฝ่ายภรรยาคิดว่าสามีของตนคงทัดทานมารดาได้ไม่นาน ถ้าสามีมีภรรยาอีกคน แล้วภรรยาใหม่ให้กำเนิดบุตร คราวนี้เธอจะหมดความหมาย ถูกใช้งานเหมือนนางทาสี
คิดดังนี้แล้วจึงไปขอหญิงคนหนึ่งให้มาเป็นภรรยาน้อยของสามี เพราะคิดว่า หญิงที่ตนเองหามาให้ คงจะบังคับบัญชาได้ นางสั่งกำชับภรรยาน้อยว่า ถ้าเธอเริ่มตั้งครรภ์ให้บอกด้วย
ต่อมาไม่นานภรรยาน้อยก็ตั้งครรภ์ ภรรยาหลวงจึงทำข้าวต้มข้าวสวยบำรุงครรภ์ให้ แต่แอบใส่ยาทำลายครรภ์ลงไปด้วย ทำให้ภรรยาน้อยแท้งบุตร
ครั้งที่ ๒ ภรรยาน้อยตั้งครรภ์อีกก็แท้งบุตรอีก เพื่อนและญาติภรรยาน้อยถามว่าตอนตั้งครรภ์ภรรยาหลวงทำอะไรให้บ้าง พอรู้ว่าภรรยาหลวงสั่งให้บอกแล้วทำอาหารมาบำรุงให้ ก็รู้ว่าเป็นอุบายชั่วของภรรยาหลวง จึงสั่งกำชับว่าหากตั้งครรภ์อีกอย่าบอกภรรยาหลวงเป็นอันขาด
ครั้งที่ ๓ ภรรยาน้อยก็ตั้งครรภ์อีก คราวนี้เธอไม่บอกภรรยาหลวง จนครรภ์ใหญ่ภรรยาหลวงจึงรู้เอง ภรรยาหลวงแค้นมากคอยหาโอกาสทำลายเด็กในครรภ์อยู่ตลอดเวลา
จนภรรยาน้อยครรภ์แก่ จึงเผลอตัวโดนภรรยาหลวงวางยาจนแท้งบุตรอีก แต่เพราะครรภ์แก่แล้วการแท้งบุตรคราวนี้ทำให้ภรรยาน้อยเจ็บปวดทรมานมากถึงขั้นเสียชีวิต
ก่อนตายภรรยาน้อยอาฆาตว่า
“นางคนนี้ทำให้เราแท้งบุตรถึง ๓ ครั้ง เราตายไปแล้ว จะขอเกิดมากินลูกของมันทุกคน”
เมื่อตายไปแล้วภรรยาน้อยได้ไปเกิดเป็นแมวในเรือน
ฝ่ายภรรยาหลวงถูกจับได้ว่าเป็นคนทำให้ภรรยาน้อยตาย จึงถูกสามีทุบตีจนตายตกไปตามกัน ตายแล้วไปเกิดเป็นแม่ไก่อยู่ในเรือน
ต่อมาแม่ไก่ออกไข่ แม่แมวก็มากินไข่แม่ไก่จนหมดตามแรงอาฆาตถึง ๓ ครั้ง แม่ไก่จึงอาฆาตว่าถ้าตายจากชาตินี้เมื่อไรจะขอกลับมากินลูกแม่แมว
เมื่อแม่ไก่ตายแล้วได้ไปเกิดเป็นเสือเหลือง ส่วนแม่แมวไปเกิดเป็นวัว พอแม่วัวตกลูกก็ถูกแม่เสือเหลืองมากินลูกไปถึง ๓ ครั้ง
แม่วัวจึงอาฆาตว่าถ้าตายจากชาตินี้แล้วจะขอเกิดมากินลูกแม่เสือเหลืองบ้าง
ต่อมาแม่วัวก็ตายไปเกิดเป็นนางยักษ์
ส่วนแม่เสือเหลืองเกิดเป็นกุลธิดาในกรุงสาวัตถี โตขึ้นออกเรือนไปอยู่กับสามีที่บ้านริมประตูเมือง
เมื่อกุลธิดาให้กำเนิดบุตร นางยักษ์ที่รอโอกาสแก้แค้นอยู่ จึงแปลงกายเป็นเพื่อนของนางทำทีมาเยี่ยมขอดูว่า
บุตรเป็นหญิงหรือชาย พอได้โอกาสเข้าไปใกล้ทารกนางยักษ์ก็จับทารกกินเสีย ๒ ครั้ง
พอตั้งครรภ์ที่ ๓ กุลธิดาจึงบอกสามีว่า มีนางยักษ์มาคอยจ้องกินลูกของเราอยู่ เธอขอกลับไปคลอดที่บ้านเดิมเพื่อหนีนางยักษ์ ครั้งนี้กุลธิดาจึงคลอดบุตรอย่างปลอดภัย
ฝ่ายนางยักษ์ไม่ได้อยู่เฝ้าหญิงคู่อาฆาตเสียหลายเดือน เพราะต้องทำหน้าที่ตักน้ำจากสระอโนดาตไปถวายท้าวเวสสุวัณ เมื่อหมดเวรตักน้ำ กลับมาไม่พบหญิงคู่อาฆาต ไต่ถามได้ความว่า เธอกลับไปคลอดบุตรที่บ้านเดิม นางยักษ์จึงตามไป
วันนั้นกุลธิดากับสามีกำลังพาบุตรกลับบ้านเดิม ระหว่างทางได้หยุดพักอาบน้ำและให้นมบุตรที่ข้างวัดเชตวันมหาวิหาร กุลธิดาเห็นนางยักษ์กำลังเดินมาจึงวิ่งหนีเข้าไปในวิหาร
อุ้มลูกไปวางแทบเท้าพระพุทธเจ้า
ซึ่งกำลังแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ช่วยชีวิตลูกของตนด้วย
ฝ่ายนางยักษ์ไล่ตามมาถึงหน้าประตูวิหารแต่เข้าไปข้างในไม่ได้เพราะเทวดาที่ซุ้มประตูไม่ยอมให้เข้า
พระศาสดาตรัสบอกให้พระอานนท์ ไปเรียกนางยักษ์เข้ามาเทวดาที่ซุ้มประตูจึงยอมให้นางยักษ์เข้าไปได้
นางยักษิณีร้องไห้ด้วยความอาฆาต เข้ามาในวิหาร พระศาสดาตรัสกับนางยักษ์ว่า
“นางยักษิณีจงมาเถิด เจ้าอย่าได้ร้องไห้ไปเลย เจ้าหยุดสร้างเวรต่อกันได้แล้ว พวกเจ้าทั้งสองผูกเวรกันไว้แล้วระงับเวรด้วยการสร้างเวรใหม่ เวรของพวกเจ้าจึงผูกกันไปไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนเวรของงูกับพังพอน ของหมีกับไม้สะคร้อ และของกากับนกเค้า เวรไม่อาจระงับด้วยการผูกเวร แต่ระงับได้ด้วยความไม่ผูกเวร”
ทรงตรัสพระคาถาว่า
“น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน”
ในกาลจบพระคาถา นางยักษิณีก็ได้สติระงับเวรลงได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน
นางยักษ์กับกุลธิดาจึงต่างเลิกจองเวรกัน แต่แล้วนางยักษิณีกลับร้องไห้ขึ้นมาอีก พระศาสดาตรัสถามว่านางยักษ์ร้องไห้ทำไม นางยักษ์กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อนข้าพระองค์เลี้ยงชีพด้วยการกินเนื้อสัตว์ยังได้อาหารไม่พออิ่มท้อง บัดนี้ ข้าพระองค์เลิกเบียดเบียนสัตว์แล้ว ข้าพระองค์จะเลี้ยงชีพได้อย่างไร”
พระศาสดาจึงตรัสให้กุลธิดารับนางยักษ์ไปอยู่ด้วย ให้จัดข้าวและน้ำให้นางยักษ์กิน
นางยักษ์เป็นอยู่สุขสบายจึงตอบแทนกุลธิดาด้วยการบอกว่าปีนี้ฝนดีให้ทำนาบนที่ดอน ปีนี้ฝนแล้งให้ทำนาในที่ลุ่ม กุลธิดาจึงทำนาได้ผลดีไม่เสียหายเพราะน้ำท่วมหรือน้ำน้อยเหมือนคนอื่น
“เวรทั้งหลายในโลกนี้ไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับได้ด้วยความไม่จองเวร”
…………………… ………………………………..
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดเชตวันมหาวรวิหาร เมืองสาวัตถี
ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ