พระราชาองค์หนึ่งมีพระราชโอรส ๔ พระองค์ พระราชามีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและลูกชายก็เลื่อมใสด้วย เวลาที่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระพุทธสาวกมาพักในพระราชนิเวศน์เขตพระราชฐาน
พระราชโอรสทั้ง ๔ พระองค์ก็เลี้ยงดูพระด้วยความเลื่อมใส แต่งานเลี้ยงพระเป็นงานใหญ่เพราะพระที่ติดตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนมาก การเลี้ยงพระจึงเป็นงานหนัก
พระราชโอรสทั้ง ๔ พระองค์จึงได้มอบงานเลี้ยงพระให้แก่นายเสมียนคือเป็นเลขานุการเป็นผู้แทนจัดงานเลี้ยง จัดเงินในพระคลังออกมาจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงพระเลี้ยงคนของพระ
ต่อมานายเสมียนเห็นว่าถ้าได้ญาติของเรามาช่วยในการนี้จะดีมาก ความจริงนายเสมียนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดคดโกง แต่บรรดาญาติทั้งหลายในตอนต้นก็ช่วยงานด้วยดี ด้วยความซื่อสัตย์บริสุทธิ์
พอนานๆ เข้าก็คิดว่าเรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ไม่มีความหมาย นรกสวรรค์อยู่ที่ไหนมองไม่เห็น คนตายแล้วก็แล้วกันไป แต่เวลาที่มีชีวิตอยู่นี้ให้มีความสบายก็แล้วกัน ตัวมิจฉาทิฏฐิมันเกิด ก็เริ่มจัดการตามระเบียบเงินที่ให้มาเลี้ยงพระก็กันเข้ากระเป๋าเสียบ้าง ของซื้อมา ๕ชิ้นก็แจ้งว่าซื้อมา ๑๐ชิ้น ของราคา ๑ บาทก็มาแจ้งว่าราคา ๒ บาท
เวลาทำของให้พระ ของดีรสอร่อยก็กินเสียก่อนบ้าง ให้ลูกหลานกินก่อนบ้าง กีดกันเอาของพระไปไว้บ้านบ้าง ทำมาแบบนี้เป็นปกติ เป็นอันรู้กันว่าทุจริต คดโกงของสงฆ์ เมื่อบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ตาย นายเสมียนไปเกิดเป็นเทวดา บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้นไปสู่อเวจีมหานรกสิ้นระยะเวลากัปหนึ่ง เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม และก็มายมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม นรกมีกี่ขุมลงหมด พ้นจากนรก ๑๐ ขุมแล้วก็มาเป็นเปรตอีก ๑๒ จำพวก เปรต ๑๑ จำพวกไม่มีโอกาสจะโมทนาส่วนกุศล พอมาถึงเปรตระดับที่ ๑๒ คือ ปรทัตตูชีวีเปรต พวกนี้มีกรรมไม่มาก ไม่มีหนอนกิน ไม่มีไฟไหม้ ไม่มีหอกเสียบแทง แต่ทว่าต้องเดินหิวหาอะไรกินไม่ได้ รออย่างเดียว คือใครเขาจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง
ถ้าได้รับการโมทนาก็มีความสบาย ถ้าที่ไหนทำบุญแล้วไม่ได้บุญเปรตพวกนี้ก็ไม่ไปล้อมอยู่ ถ้าใครทำบุญแล้วเป็นบุญเปรตพวกนี้จะไปยืนล้อมอยู่สะพรั่งรอบๆ บริเวณนั้น คอยโอกาสที่ได้รับโมทนา ปรทัตตูชีวิเปรตที่เป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารนั้นท่องเที่ยวมานานหลายกัป ได้เข้าไปหาพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ”ข้าพระพุทธเจ้าอดข้าวอดนํ้ามานานเหลือเกินแล้ว เวลานี้เห็นข้าวของกองไว้ พอจะกินเข้าไปมันก็เป็นแกลบแล้วมีไฟลุก เห็นนํ้าอยากนํ้าพอวิ่งเข้าไปจะกินนํ้า นํ้าก็แห้งกลายเป็นแกลบและเป็นไฟลุกกินไม่ได้ เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะมีข้าวมีนํ้ากินกับเขาสักที” ความจริงบุญของพระพุทธเจ้าก็เหลือหลาย ถ้าจะช่วยก็เหลือที่จะช่วยได้ แต่ว่าอำนาจของกรรมบังคับ เปรตพวกนี้จึงยังไม่มีโอกาสจะได้โมทนาส่วนกุศล
พระองค์ก็ต้องทรงอุเบกขาและทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่าอีก ๙๑ กัป จะมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีพระนามว่า
“สมเด็จพระสมณโคดม” ทรงอุบัติขึ้นในโลก และญาติของเปรตทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นนายเสมียนกำลังเป็นเทวดาอยู่ จะกลับลงมาเกิดเป็นพระราชามีพระนามว่า “พระเจ้าพิมพิสาร” ในประเทศมคธ จะเป็นผู้อุปถัมภ์ของพระพุทธเจ้าและเป็นพระสหายกันมาก่อน
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อโมทนาแล้วก็จะพ้นจากความเป็นเปรตไปเกิดเป็นเทวดา เมื่อเปรตทั้งหลายทราบจากองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าอีก ๙๑ กัปจะได้กินข้าวกินนํ้ามีความสุขก็ดีใจ มีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่าเวลา ๙๑ กัปเป็นวันพรุ่งนี้ ต่อมาเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระนามว่า “สมเด็จพระสมณโคดม” ทรงอุบัติขึ้นในโลก และ พระเจ้าพิมพิสาร มีความเลื่อมใสนิมนต์พระพุทธเจ้ามาประทับที่พระเวฬุวันมหาวิหาร สร้างวัดถวายเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา และก็เลี้ยงดูพระตลอดเวลาแต่ไม่เคยอุทิศส่วนกุศลไม่เคยกรวดนํ้า
บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านี้ไปยืนคอยในบริเวณเขตพระราชฐานของพระเจ้าพิมพิสารทุกวัน ไม่เห็นให้สักที หนักเข้าๆ ทนไม่ไหวก็เลยส่งเสียงร้องให้ปรากฏในคืนหนึ่งที่พระเจ้าพิมพิสารจะเข้านอนในห้องบรรทม พระเจ้าพิมพิสารก็แปลกใจ ในตอนเช้าท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่เช้าไปกราบทูลให้ทรงทราบองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “เสียงนั้นเป็นเสียงเปรตญาติของพระองค์”และทรงเล่าเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีตให้ฟังโดยละเอียด พระเจ้าพิมพิสารก็มีความสงสาร จึงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลายประมาณ ๕๐๐ รูป ที่อยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร เข้าไปฉันในพระราชนิเวศน์ พอพระฉันเสร็จพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดนํ้าตามพิธีของพราหมณ์ จะให้อะไรใครต้องเอานํ้าราดลงไปแสดงถึงการให้แต่ตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนา
การกรวดนํ้าท่านเรียกอุทิศ “อุทิศ” แปลว่า “เจาะจงเฉพาะ” คือบุญนี้เรามีเจตนาส่งไปให้เจาะจงคนนั้น คนนี้ ไม่ต้องใช้นํ้าก็ได้บรรดาเปรตทั้งหลายเมื่อได้รับโมทนาแล้ว อัตภาพแห่งความเป็นเปรตซีดเซียวก็หมดไป มีอาการผ่องใส มีความอิ่มเอิบ มีความสุขความสบาย มีร่างกายสวยเหมือนเทวดาแต่ทว่าเปรตทั้งหลายเหล่านี้ในชาติก่อนไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อได้รับโมทนาแล้วร่างกายเป็นเทวดาแต่ไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อใส่ ก็มีความลำบากใจ ตอนกลางคืนก็เข้าไปหาพระเจ้าพิมพิสาร คราวนี้ไม่ร้องแต่ไปยืนให้ให้เห็นร่างกายสวยสดงดงามแต่ไม่มีอะไรปิดกายเลยพอตอนเช้าพระเจ้าพิมพิสารก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า”ไม่ใช่ใครเป็นเปรตพวกเดิม ได้รับโมทนาแล้วมีความสุขมีกายเป็นเทวดา แต่ขาดเสื้อผ้าเครื่องประดับเพราะว่าชาติก่อนไม่เคยบำเพ็ญกุศลเรื่องผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพระพุทธศาสนา”และทรงให้พระเจ้าพิมพิสารถวายผ้าแก่พระสงฆ์ ท่านจึงถวายผ้าหมดทั้งวัด ถวายอาหารใหม่ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ บรรดาเทวดาที่มาจากเปรตทั้งหลายเมื่อได้รับโมทนาก็มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาบรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่มารบกวนพระเจ้าพิมพิสารอีกเลย
ทำบุญแล้วกรวดน้ำอุทิศให้ผู้ล่วงลับกันนะคะ
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ