อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 50 –พระมหาชนกตอนที่ 6–

พระมหาชนกตอนที่ 6

อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 50

พระมหาชนกทรงตั้งพระทัยเจริญสมณธรรมอยู่ในพระตำหนัก ต่อไป จนเวลาล่วงไปถึง ๔ เดือน พระราชหฤทัยของพระองค์ได้น้อม ไปในทางบรรพชายิ่งขึ้น

ตอนนั้นพระองค์ทรงเห็นพระราชวังเป็นประ ดุจขุมนรกโลกันต์ โลกทั้งโลกดูร้อนรุ่มดั่งอยู่ในกองเพลิง พระองค์ ทรงมุ่งต่อบรรพชาทรงมีจิตนาการว่า

เมื่อไหร่หนอจะถึงกาลที่เราจะ ไปจากกรุงมิถิลาที่ตกแต่งสวยงามดังกับเมืองสวรรค์ แล้วไปสู่ป่าหิม พานต์ ทรงเพศเป็นบรรพชิตเสียที

จากนั้นพระองค์ก็ทรงดำริต่อไปว่า
เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง ซึ่งนายช่างผู้ ฉลาด จัดการสร้างจำแนกสถานที่เป็นพระราชนิเวษน์นี้เป็นต้น

ปัน ส่วนออกเป็นประตูและถนนตามส่วนแล้วออกบวช ความประสงค์นั้น จักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธรานีอันมั่งคั่ง กว้างขวางรุ่ง เรืองด้วยประการทั้งปวง แล้วออกบวชความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง มีป้อมและซุ้ม ประตูมั่งคง แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง มีทางหลวงตัด ไว้เรียบร้อย แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง มีร้านตลาดใน ระหว่างจัดไว้อย่างดี แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อ ไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่งเบียดเสียดไป ด้วยรถเทียมโคและม้า แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง มีระเบียบแห่ง หมู่ไม้ในที่เที่ยวสำราญ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง มีระเบียบแห่ง หมู่ไม้ในพระราชอุทยาน แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง มีระเบียบแห่ง ปราสาทอันประเสริฐ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อ ไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง มีปราสาทสาม ชั้น พรั้งพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งพระเจ้าวิเทหรัฐผู้ทรงยศ พระนามว่า โสมนัสทรงสร้างไว้ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจัก สำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง ซึ่งพระเจ้าวิเทห รัฐทรงสะสมธัญญาหารเป็นต้น ทรงปกครองโดยธรรม แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกรุงมิถิลาราชธานีอันมั่งคั่ง อันมั่งคั่ง อันหมู่ ปัจจามิตรผจญไม่ได้ ทรงปกครองโดยธรรม แล้วออกบวช ความประ สงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากพระราชมณฑียรสถานอันน่ารื่นรมย์ ซึ่งฉาบ ทาด้วยปูนขาวและดิน แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากพระตำหนักยอดอันทาสีวิเศษสวยสด ราด รดประพรมด้วยแก่นจันทน์ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จ ได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากบัลลังก์แก้วมณี ซึ่งลาดอย่างวิจิตรด้วยหนัง โค แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากผ้าฝ้ายผ้าไหม ผ้าจากโขมรัฐและโกทุมพร รัฐแล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากสระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ ซึ่งนกจากพราก ร่ำร้องแล้ว ดารดาศไปด้วยพรรณไม้น้ำทั้งปทุมและอุบล แล้ว ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกองช้างซึ่งประดับประดาไปด้วยเครื่องอลัง การทั้งปวง และเหล่าช้างมีสายรัดทองคำบริบูรณ์ด้วยเครื่องประดับ หัวและข่ายทองคำ เหล่าควาญที่ประจำก็ถือโตมรและของง้าว แล้ว ออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกองม้า ซึ่งประดับประดาด้วยสรรพาลังการ และเหล่าสินธพชาติอาชาไนย ซึ่งเป็นพาหนะเร็ว อันเหล่าคนฝึกประ จำถือดาบและแล่งศรอยู่เป็นนิตย์ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจัก สำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกองรถซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประจำ หุ้มหนัง เสือเหลืองและเสือโคร่ง ประดับประดาด้วยอลังการอันวิจิตร มีคน ประจำรถถือศรสวมเกราะ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จ ได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากรถเงิน ซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประจำ หุ้มหนัง เสือและเสือโคร่ง ประดับด้วยอลังการอันวิจิตร มีคนประจำถือศร สวมเกราะ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกองรถม้า ซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประจำ หุ้ม หนังเสือและเสือโคร่ง ประดับด้วยอลังการอันวิจิตร มีคนประจำถือ ศรสวมเกราะ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกองรถเทียมอูฐ ซึ่งติดเครื่องรบ ชักธงประ จำ หุ้มหนังเสือและเสือโคร่ง ประดับด้วยอลังการอันวิจิตร มีคนประ จำถือศรสวมเกราะ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกองรถเทียมแพะ แกะ เนื้อ โค ซึ่งติดเครื่อง รบ ชักธงประจำ หุ้มหนังเสือและเสือโคร่ง ประดับด้วยอลังการอัน วิจิตร มีคนประจำถือศรสวมเกราะ แล้วออกบวช ความประสงค์นั้น จักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากกองฝึกช้างถือโตมรและของ้าวกองฝึกม้า ทรงเครื่องประดับทองคำ กองพลธนูถือคันธนูพร้อมทั้งแล่งธนู เหล่า ราชบุตรทรงเครื่องประดับทองคำ ทั้งสี่เหล่านี้ล้วนประดับด้วยเครื่อง สรรพาลังการ เป็นผู้กล้าหาญสวมเกราะสีเขียว ส่วนราชบุตรสวมเก ราะอันวิจิตรถือกริชทอง แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้ เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากหมู่พราหมณ์ผู้ครองผ้าเครื่องบริขารครบ ครัน ทาตัวด้วยแก่นจันทน์เหลือง ทรงผ้ามาแต่แคว้นกาสีอันอุดม และนางสนมกำนัลผู้เอวบางประมาณ ๗๐๐ คน ซึ่งประดับด้วยเครื่อง สรรพาลังการมารยาทดี สำรวมดีแล้ว ควรเชื่อฟังคำสั่ง พูดจาน่ารัก แล้วออกบวช ความประสงค์นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักไปจากภาชนะที่สร้างด้วยทองคำน้ำหนักร้อยปัลละ ประกอบด้วยลวดลายด้านหลังร้อยลาย แล้วออกบวช ความประสงค์ นั้นจักสำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรกองช้างซึ่งประดับประดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เป็น ต้น จนถึงเหล่านางสนมกำนัลผู้เชื่อฟังคำสั่ง พูดจาน่ารัก เป็นที่สุด ผู้ติดตามเราไป พวกเขาจักไม่ติดตามเรา ข้อนี้จักมีจักเป็นได้เมื่อไร หนอ

เมื่อไรเราจักได้ปลงผมห่มผ้าสังฆาฏิ อุ้มบาตร เที่ยวบัณฑบาต จักทรงผ้าสังฆาฏิอันทำด้วยผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งไว้ตามถนนหนทาง

เมื่อในตกเจ็ดวัน จักมีจีวรเปียกชุ่มเที่ยวบัณฑบาต จักจาริกไปตาม ต้นไม้ ตามราวป่า ทั้งกลางวันและกลางคืน เที่ยวไปโดยไม่เหลียว แกถึงกิจการอันใดอันหนึ่ง

จักละความกลัวความขลาดให้เด็ดขาด จักอยู่ผู้เดียวตามภูเขาและสถานที่อันลำบาก จักทำจิตให้ตรงดุจ คนดีดพิณ ดีดสายทั้งเจ็ดให้เป็นที่รื่นรมย์ใจ ความประสงค์นั้นจัก สำเร็จได้เมื่อไรหนอ

เมื่อไรเราจักตัดเสียซึ่งกามสังโยชน์ อันเป็นของทิพย์และของ มนุษย์ ดุจช่างตัดรองเท้าให้ชาดออก ฉะนั้น

เมื่อพระมหาชนกทรงดำริอยู่อย่างนี้ ก็ทรงนิ่งอยู่ยังมิได้ทรง ทำประการหนึ่งประการใด แต่ได้แสดงให้เห็นถึงส่วนลึกแห่ง
พระทัย ว่า ทรงเบื่อชีวิตฆารวาสและทรงปรารถนาจะออกบวชอย่างที่ สุด

พระมหาชนกทรงรำพึงถึงแต่เรื่องการออกบวชเรื่อยมา ละทิ้ง เพศคฤหัสถ์แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต

ครั้นทรงดำริอย่างนี้แล้วก็ตรัสสั่งมหาดเล็กผู้รับใช้ใกล้ชิดเป็นความ ลับว่า “เจ้าจงไปเที่ยวหาซื้อผ้าย้อมฝาดและบาตรดินตามร้านตลาด มาให้ฉันหน่อย แล้วอย่าได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด”

มหาดเล็กได้รีบไปทำตามรับสั่งในทันทีและได้ผ้าย้อมฝาดกับ บาตรดินมาเรียบร้อย
จากนั้น พระมหาชนกโปรดให้เรียกหาเจ้าพนักงานภูษามาลา มาเข้าเฝ้า

รับสั่งให้ปลงพระเกศาและพระมัสสุแล้วพระราชทา นบ้านส่วยแล้วโปรดให้กลับไป โดยทรงกำชับว่าอย่างให้ผู้หนึ่งผู้ ใดล่วงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด

พระองค์ทรงอยู่ลำพังพระองค์เดียว ทรงเปลื้องเครื่องทรงกษัต ริย์ออก แล้วทรงนุ่งผ้าย้อมฝาดผืนหนึ่งทรงห่มผ้าย้อมฝาดผืนหนึ่ง ทรงพาดผืนหนึ่งที่พระอังสา สวมบาตรดินในถึงคล้องพระอังสาทรง

ธารพระกร (ถือไม้เท้า) สำหรับคนแก่ ทดลองเดินจงกรมไปมาอยู่ บนตำหนัก ด้วยลีลาท่วงท่าแบบพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงทำอย่างนี้ อยู่ประมาณ ๔-๕ วัน ก็ทรงรู้สึกว่าเป็นสุขจริงๆ จึงทรงเปล่งอุทานว่า

“โอ้ การบวช เป็นสุขจริงหนอ การบวชเป็นสุขอย่างยิ่งหนอ การบวช เป็นสุขอันประเสริฐหนอ”

ผู้ออกบวชด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า หรือผู้ที่ใช้ชีวิ ตมาอย่างโชกโชนแล้วทดลองบวช จะได้สัมผัสกับความสุขอย่างแท้ จริง

จนถึงกับเปล่งอุทานหรือรำพึงออกมาคล้ายๆ กันว่า การบวช เป็นความสุข
ทำไมการบวชจึงเป็นความสุข เพราะการบวชเป็นการออกไป จากความทุกข์ ธรรมดาว่าคนเราเมื่อออกจากทุกข์ได้ก็ย่อมเป็นสุข

ในวันนั้น (วันที่ออกบวช) พระมหาชนกเสด็จประทับอยู่บน ประสาทตลอดทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ได้เสด็จลงมาข้างล่างเลย รุ่งขึ้น พระมหาชนกทรงตัดในพระทัยว่า

จะเสด็จลงจากพระตำหนักไปอยู่ ป่าในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น เวลานั้นพระนางสีวลีพร้อมด้วยสนมนารี ๗๐๐ คน ได้พากันเข้าเฝ้า

พระเจ้าอยู่หัวกันเป็นขบวนใหญ่ ขณะที่พระ มหาชนกเสด็จลงจากตำหนัก ก็ได้ทรงสวนทางกับพระนางสีวลีและ เหล่าสนม พระมหาชนกทรงทอดสายตาลง ไม่ทรงมองใคร

ทรงอยู่ ชุดพระฤาษี พระนางสีวลีกับเหล่าสนมก็มองดูว่าผู้ที่สวนทางกับ ตนเป็นนักบวช คงเป็พระปัจเจกพุทธเจ้าที่มาถวายโอวาทพระราชา แต่ไม่ได้สังเกต จึงไม่รู้ว่าเป็นพระมหาชนก ไม่มีใครจำพระองค์ได้สัก คนเดียว

เมื่อเข้าไปในห้องที่ประทับ พระนางสีวลีได้ทอดพระเนตรเห็น พระเกศาบนหลังพระที่สิริไสยาสน์ และห่อเครื่องราชาภรณ์ ก็ทรง ทราบในทันทีว่านักบวชที่เราเห็นว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อตะกี้นี้ นั้นคงไม่ใช่เสียแล้ว

คงจะเป็นพระมหาชนกอย่างแน่นอน จึงรีบพากัน ติดตามไปทันทีหน้าพระลานหลวง แล้วทูลวิงวอนให้เสด็จกลับคืนค รองราชสมบัติต่อไป เสียงอ้อนวานของพระอัครมเหสีและเหล่าพระ สนมดังอื้ออึงมาก

จนเกิดการเล่าลือไปทั่วพระราชวัง แล้วพระนครก็ เอิกเกริกโกลาหลด้วยข่าวลือนี้
ชาวเมืองต่างพากันกล่าวว่า

“ได้ยินว่า พระราชาของพวกเรา ทรงผนวชเสียแล้ว พวกเราจักได้พระราชาผู้ดำรงอยู่ในยุติธรรมเห็น ปานนี้แต่ไหนอีกเล่า”

..แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..