อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 50 –พระมหาชนกตอนที่ 5–

พระมหาชนกตอนที่ 5

อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 50

บัดนี้ลูกได้นำ ราชสมบัติของพระบิดากลับคืนมาสมกับที่ตั้งใจไว้ได้แล้ว ขอให้พระ มารดาประทับอยู่อย่างเป็นสุขเถิด”

พระมารดาทรงปลื้มพระทัยมาก ทรงมองดูพระโอรสด้วยสาย พระเนตรที่แสดงถึงความพอพระทัย ทรงเข้าโอบกอดพระโอรสอยู่ นานทีเดียว จากนั้นทั้งสองพระองค์ก็ประทับนั่งเคียงข้างกัน ครู่หนึ่ง

พระมารดาก็ประทานพระโอวาทขอให้พระมหาชนกปกครองแผ่นดิน โดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาววิเทหรัฐทั้งปวง

พระมหาชนกทรงน้อมรับจะเป็นพระราชาที่ดีดำรงอยู่ในทศพิ ธราชธรรมอย่างเคร่งครัด

ต่อมาพระองค์ทรงโปรดให้สร้างโรงทานขึ้น ๖ แห่ง คือ ๑. ที่กลางเมือง ๑ แห่ง
๒. ที่ประตูพระราชวัง ๑ แห่ง
๓. ที่ประตูเมือง ๔ แห่ง

ทรงสละทรัพย์สินสิ่งของเพื่อช่วยเหลือประชาราษฎร ทรงจัดให้ มีการกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ประชาชนของพระ องค์จึงมีความสุขกันถ้วนหน้า

พระองค์ได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า มาฉันภัตตาหารอยู่เป็นประจำ น้ำพระทัยของพระองค์จึงสนิทแนบ กับบุญกุศล โน้มเอียงเข้าหาธรรมะอยู่ตลอดเวลา

สำหรับพราหมณ์ทิศาปากโมกข์ แม้จะจากบ้านเกิดเมืองนอน มาอยู่ในพระราชวังเมืองมิถิลานคร แต่ก็มีความสุขดี สุขมากขึ้นกว่า เก่า สุขทั้งกายสุขทั้งใจ มีความสุขดี
————————————–
มีความสะดวกสบายในทุกสิ่ง ทุกประการ
วันหนึ่งขณะที่พระมหาชนกประทับบนพระราชอาสน์ภายใต้พระ มหาเศวตฉัตร ทอดพระเนตรสิริวิลาสอันยิ่งใหญ่ประดุจดังสิริของ ท้าวสักกเทวราช

ก็ทรงระลึกถึงความเพียรพยายามที่พระองค์ทรง ทำในทะเล คือ การว่ายข้ามน้ำทะเลอย่างไม่ท้อถอย กระทั่งเทพธิดา มณีเมขลาได้มองเห็นความอุตสาหะอันแรงกล้า จนต้องให้ความ ช่วยเหลือ

บัดนี้ผลแห่งความเพียรพยายามทำให้ได้ขึ้นครองราช สมบัติ

เมื่อทรงระลึกถึงเช่นนั้นแล้วก็ทรงมีพระมนสิการว่า ขึ้นชื่อว่าค วามเพียรเป็นสิ่งที่ควรทำแท้ ถ้าเราไม่ได้เพียรว่ายน้ำข้ามทะเล

เรา ก็คงจะไม่ได้ครองราชสมบัติเป็นแน่แท้ ครั้งทรงหวนระลึกเช่นนั้นแล้ว ก็เกิดพระปีติโสมนัสซาบซ่าน จึงทรงเปล่งพระอุทานขึ้นว่า

“เป็นคนควรหวังเรื่อยไป บัณฑิตไม่ควรท้อแท้ เราสำเร็จความ ปรารถนา ๒ ประการ คือ ได้ราชสมบัติกับได้ขึ้นบก เพราะเราไม่หมด หวัง คนมีปัญญา

ถึงเผชิญอยู่กับความทุกข์ก็ไม่ยอมสิ้นหวังที่จะได้ ประสบความสุข จริงอยู่คนส่วนมากได้รับความทุกข์แล้วก็ทำแต่สิ่งที่ ไร้ประโยชน์ พอได้รับความสุข จึงทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์

คนเหล่านั้น ไม่รู้จักตรึกตรองถึงความข้อนี้ จึงถึงแก่ความตายไป สิ่งที่ไม่เคยคิด ไว้ เกิดขึ้นก็มี สิ่งที่คิดไว้ พินาศหายไปก็มี โภคะของใคร ไม่ว่าสตรี หรือบุรุษที่จะสำเร็จเพียงด้วยคิดเอา ย่อมไม่มี

ไม่มีความสำเร็จใดผลิผลให้เพียงด้วยความคิด หากแต่จะต้อง เพียรพยายามทำเอาจึงจะได้”

พระมหาชนกทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ตั้งอยู่ในธรรม ครอง ราชสมบัติโดยธรรม นับแต่วันขึ้นครองราชย์เรื่อยมา ทรงตั้งพระทัย ทะนุบำรุงบ้านเมืองเอาใจใส่ดูแลปวงประชาราษฎรด้วยทศพิธราช ธรรมอย่างดียิ่ง

กาลต่อมา พระนางสีวลีเทวีได้ประสูติพระราชโอรส ซึ่งสมบูรณ์ ด้วยพระลักษณะแห่งความมั่งคั่งและความมีบุญ พระชนกและพระ ชนนีทรงขนานพระนามว่า

“ทีฆาวุราชกุมาร”

เมื่อทีฆาวุราชกุมารทรงเจริญวัย สำเร็จการศึกษาจากสำนักอา จารย์ทิศาปาโมกข์แล้ว พระราชบิดาก็ทรงสถาปนาให้ดำรงตำแหน่ งอุปราชวันหนึ่งคนเฝ้าสวน
ได้นำผลไม้น้อย ใหญ่มากมาย และดอกไม้สีสวยหลายอย่างมาถวาย พระมชนกทอด พระเนตรเห็นแล้วก็ทรงยินดี ตรัสบอกชายเฝ้าสวยว่าเราจะไปเที่ยว ในพระราชอุทยาน ขอให้เธอจงไปจัดการตกแต่งสวนเสียให้พร้อม
คนเฝ้าสวนรีบไปทำตามรับสั่งแล้วก็มากราบทูลให้ทรงทราบ

พระมหาชนกเสด็จขึ้นประทับบนหลังช้าง เสด็จออกจาก พระนครพร้อมด้วยข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก เมื่อเสด็จเข้าประ ตูพระราชอุทยาน พระองค์ก็ทอดพระเนตร

เห็นต้นมะม่วง ๒ ต้น อยู่ที่ ใกล้ประตูพระราชอุทยาน ทั้งสองต้นเจริญเติบโตดี มีใบเขียวชอุ่ม ต้นมะม่วงสองต้นนี้ ต้นหนึ่งมีผลดกมาก แต่อีกต้นหนึ่งไม่มีผลเลย

พระมหาชนกประทับนั่งอยู่หลังช้าง ทรงปลิดผลหนึ่งมาทดลอง เสวย ปรากฏว่ารสชาติของมันหวานอร่อยมาก ดุจได้ลิ้มโอชารทิพย์ ทีเดียว

พระองค์ทรงติดพระทัยถึงกับทรงดำริว่า ขากลับจะเอาไปกิน มากๆ แล้วก็เสด็จเข้าไปภายในสวน ขณะนั้นคนอื่นๆ ที่ตามมาข้าง หลัง อันมีทีฆาวุราชกุมาร อำมาตย์ ขุนนาง ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย เรื่อยไปจนถึงคนดูแลช้าง คนดูแลม้า

เมื่อรู้ว่าผลของมะม่วงต้นนั้น หวานอร่อยมาก จึงพากันเข้าไปเอาด้วยการสอยบ้าง ขว้างปาบ้าง ขึ้นไปขย่มกิ่งบ้าง หักกิ่งบ้าง จนใบเริ่มโกร๋น ในขณะที่ต้นมะม่วงอีก ต้นหนึ่งยังอยู่ดีไม่มีใครไปรบกวนให้เสียหาย ดุจภูเขามีสีสันมัดได้ ดุจดวงแก้ว

ฝ่ายพระมหาชนกเมื่อทรงพักผ่อนและเพลิดเพลินอยู่ในสวน เป็นที่ผ่าสุกสำราญเบิกบานพระทัยจนพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็เสด็จ ออกจากพระราชอุทยาน เมื่อทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วงจึงตรัสถา มอำมาตย์ว่าเกิดอะไรขึ้น

เหล่าอำมาตย์กราบทูลว่า

“เมื่อผู้คนทราบว่ามะม่วงที่พระองค์ เสวยมีรสเลิศ พวกเขาจึงพากันเข้ามาแย่งผลมะม่วงเอาไปกิน ด้วย การสอยบ้าง ขว้างปาบ้าง หักกิ่งบ้าง ผิดกับอีกต้นหนึ่งที่ไม่มีผล ก็ไม่ มีใครไปทำลาย
ใบยังหนาเขียวชอุ่มอยู่ พระเจ้าข้า”

พระมหาชนกทรงสดับดังนั้นแล้ว ก็ทรงรู้สึกสดพระทัยได้ความ คิดขึ้นว่า
“ต้นมะม่วงที่ยังดีอยู่ มีใบแน่นหนา เป็นเพราะไม่มีดอกไม่ออก ผล ส่วนต้นมะม่วงที่ย่อยยับไปนี้ เป็นเพราะให้ดอกออกผลนั่นเอง

ราชสมบัติก็เปรียบเหมือนกับต้นไม้มีผล จะถูกทำลายลงเมื่อใดก็ได้

แม้ไม่ถูกทำลาย ก็ก่อให้เกิดความกังวลในการรักษา ภัยย่อมเกิดแก่ ผู้มีความกังวล
ส่วนการบวชเปรียบเหมือนต้นมะม่วงไร้ผลที่ใครๆ ไม่สนใจ ไม่มีใครอยากได้ จึงไม่ถูกทำลาย

นอกจากจะไม่ถูกทำลายแล้ว ก็ยัง ไม่สร้างความกังวลให้ ภัยย่อมไม่มีแก่ผู้ไร้ความกังวล ฉะนั้นเรา จะไม่เป็นเหมือนต้นไม้ที่มีผล แต่จะทำตนเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไร้ผล

“เราจะสละราชสมบัติออกบรรพชา”

ครั้นทรงคิดดังนี้แล้วก็รีบพาขบวนเสด็จกลับพระราชวัง รับสั่ง ให้ประชุมเสนาบดีในทันที ตรัสสั่งว่า

“นับแต่นี้ต่อไป เราจะขอใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบแต่เพียงผู้เดียว ใครๆ ไม่ต้องมาหาเรา นอกจากผู้ทำหน้าที่เชิญเครื่องเสวยกับน้ำ บ้วนปากและไม่สีฟันมาให้เราเท่านั้น ส่วนราชการงานเมืองขอมอบ ให้อุปราชทีฆาวุราชกุมารเป็นผู้ดูแล

โดยพวกท่านทั้งหลายก็จะต้อง ช่วยกันดูแลอย่างเต็มที่ ขอให้ศึกาาวิธีการทำงานของเหล่าอำมา ตย์คนเก่าก่อน เราจะเจริญสมณธรรมอยู่ในตำหนักชั้นบน ใครๆ อย่าได้มารบกวนเราเลย”

ตรัสสั่งดังนี้แล้วก็เสด็จขึ้นสู่ตำหนักชั้นบน เจริญสมณธรรม หาความสงบใจแต่เพียงผู้เดียว

ครั้นกาลเวลาล่วงเลยนานมา มหาชนกก็ไปประชุมกันที่พระลาน หลวง เพราะไม่เห็นพระมหาชนกเสด็จออกจากตำหนักเลย จึงพู ดกันว่า

“พระเจ้าแผ่นดินของเราไม่เหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ เห็นพระองค์ทอดพระเนตรการฟ้อนรำขับร้อง ไม่ทอดพระเนต รสัตว์ต่างๆ ไม่เสด็จประพาสพระราชอุทยาน

ไม่ทอดพระเนตรฝูงหงส์ที่สระบัว พระองค์ทรงทำเป็นเหมือนคนใบ้ ประทับนิ่งเฉยอยู่ ในตำหนัก ไม่ยอมว่าราชการใดๆ”

ฝ่ายพระมหาชนกไม่ทรงรับรู้เรื่องราวในภายนอก พระราช หฤทัยของพระองค์ไม่พัวพันในกาย ทรงมุ่งมั่นสละกามกิเลส มี พระทัยแน่วในการวิเวก

ทรงระลึกถึงแต่เหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ คุ้นเคยในราชสกุล ทรงดำริว่าจะมีใครหนอบอกที่อยู่ของพระปัจเจก พุทธเจ้าผู้ทรงศีลทรงธรรม หมดกิเลสแล้วแก่เรา

” แล้วทรงเปล่งอุทานว่า
“ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ผู้อยู่เป็นสุขดี มีศีลสมบูรณ์ ปราศจา กกิเลสพันธนาการหนุ่มหรือแก่ก็ตามที่ละตัณหาได้แล้ว ท่านอยู่ ที่ไหนในวันนี้

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่ท่านผู้ทรงปัญญา ผู้แสวงหา คุณยิ่งใหญ่ ใครหนอจักนำพาเราไปสู่ที่อยู่ของท่านผู้มีปัญญา ผู้ไม่ ขวนขวายในโลก ผู้ตัดกิเลสตัณหาได้ ผู้ทำลายมายาได้ด้วยญาณ”

เมื่อพระมหาชนกทรงระลึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ วก็เกิดพระปีติเป็นอย่างมาก พระองค์เสด็จลุกขึ้นไปเปิดสีหบัญชร (หน้าต่าง) ทางด้านทิศอุดร ผินพระพักตร์ไปทางทิศนั้น ประนมพระ หัตถ์เหนือพระเศียร เพื่อนมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย

..แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..