วันวิสาขบูชา ตอนที่ ๑๐ มารไม่มีบารมีไม่เกิด
พระบรมโพธิสัตว์ประทับขัดสมาธิ ผินพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก ตั้งพระวรกายตรง ดำรงพระสติมั่น บัดดล พญามาร นาม วสวัตตี ก็ปรากฏตัว เพราะกลัวว่า พระโพธิสัตว์จะก้าวพ้นจากเงื้อมมือของตน จึงยกทัพมารพร้อมเสนามาร มาผจญ ตัวพญามารเองก็เนรมิตแขนพันแขนยังกะหนวดกุ้งถืออาวุธครบทุกมือ ขี่พญาช้าง นามครีเมขละ นำลิ่วล้อหน้าตาน่าสะพรึงกลัวมาล้อมพระองค์ ออกปากขับไล่ให้พระโพธิสัตว์ลุกจากบัลลังก์ (ที่นั่ง) อ้างว่า บัลลังก์นี้เป็นของตนเอง พระบรมโพธิสัตว์ตรัสว่า
“ รัตนบัลลังก์ นี้เป็นของเรา”
“บัลลังก์นี้เป็นของข้า” พญามารกล่าวเสียงดัง
เหล่าลูกน้องพญามารต่างส่งเสียงโห่ร้องสนับสนุน แต่เมื่อพระบรมพระโพธิสัตว์ยืนยันว่าบัลลังก์เป็นของพระองค์ พญามารจึงซักว่า
“ท่านมีพยานไหมล่ะ”
พระองค์ทรงชี้ดรรชนีลงยังพื้นปฐพี ตรัสว่า
“ขอให้วสุนธราเป็นพยาน” ทันใดนั้น นางวสุนธรา หรือ นางธรณีก็ปรากฏกายบีบมวยผมปล่อยกระแสธารไหลมาท่วมกองทัพพญามารจนพ่ายแพ้หนีไปในที่สุด
ประวัติพญามาร
กาลวันหนึ่งพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช ผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ได้ทรงทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “พระกัสสปะ” ทรงเข้านิโรธสมาบัติ ตลอด ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่ และใกล้จะออกจากนิโรธอยู่แล้ว จึงทรงพระราชดำริว่า “พระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงส์ผลบุญมหาศาลล้ำเลิศ บัดนี้เราจักถวายท่านแด่พระองค์”
แล้วจึงทรงให้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า“ถ้าบุคคลผู้ใด ลอบไปถวายทานแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราแล้ว เราจักให้ลงอาญาแก่ผู้นั้น” แล้วตรัสสั่งให้ตั้งกองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่ บริเวณพระวิหารไว้อย่างกวดขัน หากผู้ใดล่วงละเมิดพระราชกฤษฎีกาแล้ว ก็ให้จับตัวไปประหารชีวิตเสีย
ท่านโพธิอำมาตย์ แม้ได้ทราบพระราชกฤษฎีกาก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะถวายทานแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาค มิได้อาลัยในชีวิต พอรุ่งเช้าจึงถือเครื่องไทยทานของตนกับภรรยารวมเป็น 2 ห่อ ตรงไปยังวิหาร พวกรักษาการณ์เห็นเช่นนี้ จึงถามด้วยความคารวะว่า
“ข้าแต่ท่านเสนาบดี ! เหตุใดท่านจึงฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ทรงห้ามไว้” ท่านอำมาตย์ได้ฟังแล้วดำริว่า
“ถ้าเราจักบอกแก่เจ้าพวกนี้ ด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จว่าพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวังก็จะได้อยู่ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวคำมุสาวาทไม่ เมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแก่องค์พระโลกนาถเจ้า แต่กล่าวคำมุสาวาทแล้ว ทานของเราก็จักมีผลไม่ยิ่งใหญ่ ควรที่เราจะบอกตามความเป็นจริง แม้จักตายก็ตามทีเถิด เราหาอาลัยชีวิตไม่” แล้วจึงบอกไปว่า
“เราจะเข้าไปถวายทานแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า” พวกทหารจึงจับท่านเสนาบดีมัดมือไพล่หลังนำไปถวายพระราชาเพื่อให้ทรงพิจารณาโทษ พระราชาทรงพระพิโรธเป็นอันมาก รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะประหารชีวิตเสียทันที
สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่โพธิเสนาบดี จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ในพระวิหารใหญ่ ส่วนพระองค์เสด็จไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประหารท่านเสนาบดี ด้วยพุทธานุภาพ โดยไม่มีผู้ใดเห็น จะเห็นได้แต่เฉพาะเสนาบดีผู้เดียว แล้วมีพระพุทธฎีกาว่า
“ดูกรโพธิเสนาบดี ! ท่านจงมีศรัทธา อย่าได้อาลัยในชีวิต อันเครื่องไทยทานของท่านมีประการใด ท่านจงกระทำจิตให้เลื่อมใสในตถาคตเถิด”
โพธิเสนาบดีได้สดับพระพุทธฎีกาแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจ จึงนำห่อภัตตาหารทั้งของตนกับภรรยาอัญชลีน้อมเกล้าเข้าถวายแด่องค์พระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า โดยคารวะเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงตั้งปณิธานว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง! ชีวิตของข้าพระบาทก็ได้สละแล้วในครั้งนี้ ด้วยเดชะผลทานนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาทได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ ในอนาคตกาลโน้นเถิด”
สมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศีรษะท่านเสนาบดี แล้วทรงพยากรณ์ว่า “ท่านปรารถนาสิ่งใด ความปรารถนาของท่านจงพลันสำเร็จเถิด…..ดูกรท่านเสนาบดี ! ท่านจงตั้งมั่นไว้ในใจด้วยดีเถิด ในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจักได้อุบัติเกิดเป็พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ”
จากนั้นจึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารช้านานนักหนา มาในชาตินี้บังเกิดเป็นเจ้าแห่งหมู่มาร (มีอายุเก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี)
ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีด้วยอำนาจบุญนำกรรมแต่ง แต่เพราะยังอยู่ในห้วงแห่งกิเลสเหตุยังเป็นปุถุชน จึงเกิดความเห็นสับสนวิปริต มีจิตคิดแข่งดีใคร่ทดลองบารมีสมเด็จพระบรมศาสดาสมณโคดมของเรา เฝ้าตามประจญด้วยประการต่างๆ แต่มิได้ล่วงเกินทำบาปหนักประการใด สุดท้ายภายหลังมีความเศร้าเสียใจอย่างหนัก ถึงกับออกปากเอ่ยความปรารถนาพุทธภูมิซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
(จากหนังสือโลกทีปนี รจนาโดยท่านเจ้าคุณพระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดดอน และเจ้าคณะเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร)
แม่ชี ทศพร วชิระบำเพ็ญ