วันพฤหัสบดีที่7มกราคม2564

วันพฤหัสบดีที่7มกราคม2564
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
ในทิศทั้งสี่ ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

กุศลผลบุญใดที่ข้าพเจ้าเพียรสร้างเพียรกระทำด้วยกายวาจาใจทั้งหมดทั้งสิ้น
ข้าพเจ้าน้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย และคุณบิดามารดา

ขออุทิศให้แก่บิดามารดาปู่ย่าตายาย
บรรพบุรุษ บรรพชนผู้ล่วงลับ
สรรพสัตว์สรรพวิญญานไม่มีประมาณ
จงมีส่วนในการอุทิศกุศลผลบุญของข้าพเจ้า

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยปกปักรักษาทุกท่านให้ตลอดปลอดภัยจากภัยทั้งหลายทั้งสิ้นมีสุขภาพแข็งแรง สุขกายสบายใจด้วยบุญด้วยทานเทอญ

———————–
โทษของความตะหนี่
     เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี ทรงปรารภอานันทเศรษฐี ความว่า ในกรุงสาวัตถี เศรษฐีชื่ออานันทะ มีสมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ 

แต่เป็นคนตระหนี่มาก ได้ฝังทรัพย์ไว้ ๕ แห่ง ไม่ยอมบอกแก่บุตรของตน เมื่อจะตาย มีความหม่นหมองเพราะความตระหนี่ 

ตายแล้วไปเกิดเป็นลูกของหญิงจัณฑาลคนหนึ่ง ซึ่งอยู่อาศัยใกล้ประตูพระนครนั้น เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงทราบว่า อานันทเศรษฐีทำกาละแล้วรับสั่งให้เรียกมูลสิริผู้เป็นบุตรเข้ามาเข้าเฝ้า ทรงตั้งให้เป็นเศรษฐีแทนพ่อ

     ตระกูลคนจัณฑาลเหล่านั้น รับจ้างทำงานร่วมกัน พอได้ค่าจ้างพอเลี้ยงตัวครอบครัวเป็นวันๆไป เมื่อถือปฏิสนธิของทารกนั้น 

ทำให้ไม่ได้ค่าจ้างทั้งไม่ได้อาหารมาก 
ได้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ทรงอยู่ได้เท่านั้น 

จึงประชุมปรึกษากันว่า ในระหว่างพวกเรานี้คงมีหญิงกาลกิณีอยู่เป็นแน่จึงได้แบ่งแยกกันออกไป 

ให้บิดามารดาของเด็กนั้นออกไปที่อื่น ทำให้ได้รับความลำบากอดอยากยากแค้นตลอดเวลาที่ลูกอยู่ในท้อง 

พอคลอดออกมา ทารกนั้นมีมือ เท้า นัยน์ตา หู จมูก ปาก ไม่ตั้งอยู่ในที่ตามปกติ มีอวัยวะวิกล มีรูปร่างน่าเกลียดมาก ดุจปีศาจคลุกฝุ่น ถึงจะเป็นเช่นนั้น พ่อแม่ก็ไม่ยอมละทิ้งบุตรของตน ย่อมมีความเยื่อใยรักใคร่อยู่เสมอ 

นางเลี้ยงลูกมาด้วยความยากลำบาก ถ้าวันไหนพาลูกไปด้วยวันนั้นจะไม่ได้อะไรเลย วันไหนให้ลูกอยู่บ้าน แม่ไปหารับจ้างเอง วันนั้นจึงได้ค่าจ้างมาเลี้ยงลูก

     เมื่อลูกโตขึ้นมาพอสมควรแล้ว จึงกล่าวกับลูกว่า “พ่อแม่มีความลำบากมากพ่อแม่ไม่อาจเลี้ยงเจ้าได้ อาหารและวัตถุทั้งหลาย มีข้าว เป็นต้น ที่เขาจัดไว้เพื่อคนกำพร้าอนาถาและคนเดินทางในเมืองนี้มีอยู่ เจ้าจงไปขอทานเขากินเถิด” 

แล้วปล่อยบุตรนั้นไป เด็กนั้นก็เที่ยวขอทาน เขากินไปตามลำดับเรือน เมื่อไปถึงที่ตนเกิดคราวเป็นอานันทเศรษฐี ระลึกชาติได้จึงเข้าไปสู่เรือนของตน 

ไม่มีใครสังเกตเขาเลย พอถึงซุ้มประตูที่ ๔ พวกบุตรของมูลสิริเศรษฐีเห็นแล้วมีความหวาดกลัวมากจากรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์ถึงกลับร้องไห้ คนทั้งหลายในบ้านนั้นจึงพาขับไล่เด็กนั้นว่า 

เอ็งจงออกไปคนกาลกิณี โบยพลางนำออกไปพลาง แล้วโยนไว้ที่กองหยากเยื่อ

พระศาสดา เสด็จไปบิณฑบาตกับพระอานนทเถระ เมื่อไปถึงที่นั้นจึงทอดพระเนตรดูพระเถระ พระเถระจึงทูลถามแล้วตรัสบอกพฤติการณ์นั้น พระเถระให้เชิญมูลสิริเศรษฐีผู้บุตรมา 

พวกประชาชนก็มา ประชุมกันเป็นการใหญ่ พระศาสดาตรัสเรียกมูลสิริเศรษฐีมาแล้ว ตรัสว่า ท่านรู้จักทารกนั้นไหม ? 

มูลสิริเศรษฐีทูลว่า ไม่รู้จักพระเจ้าข้า จึงตรัสบอกว่า ทารกนั้นคืออานันทเศรษฐี ผู้บิดาของท่าน แล้วยังทารกนั้นให้บอกขุมทรัพย์ด้วยพระดำรัสว่า อานันทเศรษฐีท่านจงบอกขุมทรัพย์ใหญ่ ๕ แห่งแก่บุตร 
ของท่าน 

เบื้องแรกมูลสิริเศรษฐียังไม่เชื่อครั้นขุดขุมทรัพย์ได้ถูกต้อง จึงเชื่อและเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้าได้ขอถึงพระศาสดาว่าเป็นสรณะ 

พระบรมศาสดาจึงทรงแสดงธรรมแก่มูลสิริเศรษฐีว่า

     “ถึงแม้ว่าคนเราจะมีบุตร มีทรัพย์มากขนาดเป็นเศรษฐี ทรัพย์ก็ดี บุตรก็ดี
หากทำประโยชน์อะไรไม่ได้
ไม่สามารถจะยังสุขอะไรให้เกิดแก่ตนได้ 
ดูตัวอย่างอานันทเศรษฐีเถิดท่านทั้งหลาย”
………………………………………………….
เกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มหาศาล
ตายแล้วเกิดใหม่เกิดเป็นลูกขอทาน
มีก็เหมือนไม่มีน่าคิดจริงหนอ…
———————————–

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ