“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อันร่างกายนี้สะสมแต่ของสกปรกโสโครก
มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้งเก้า
มีช่องหูช่องจมูก เป็นต้น
เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อย
เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด
เป็นรังแห่งโรคเป็นที่เก็บโรค
อุปมาเหมือนถุงหนัง
ซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆ
เข้าไว้แล้วซึมออกมาเสมอๆ
เจ้าของกายจึงต้องชำระล้าง
ขัดถูวันละหลายๆครั้ง
เมื่อเว้นจากการชำระล้าง
แม้เพียงวันเดียวหรือสองวัน
กลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจ
เป็นของน่าขยะแขยง ”
“ ดูกรอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก
มีผลไพศาล คือ เมื่อนางสุชาดาถวายเราก่อนตรัสรู้ครั้งหนึ่ง
อีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้
ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้ว
ตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน
ครั้งหลังนี้เสวยอาหารของจุนทะบุตรนายช่างทอง
แล้วเราก็นิพพานด้วยขันธ-นิพพาน
คือ ดับขันธ์อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่
ถ้าใครๆจะพึงตำหนิจุนทะ
เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้
ถ้าจุนทะพึงจะเดือดร้อนใจ
เธอพึงกล่าวปลอบให้เขาหายกังวลใจเสีย
อาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา ”
“ อานนท์เอ๋ย พึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วขอให้ธรรมวินัยอันนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป ”
“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้ว่าสิ่งทั้งปวงมีเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ”
ย่างเข้าปัจฉิมยาม ณ ใต้ต้นสาละคู่แห่งกุสินารานครมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงปรินิพพานอยู่ในที่นั้นและพรั่งพร้อมด้วยพุทธบริษัทเนืองแน่นเป็นปริมณฑล
ทอดไกลสุดสายตา พระธรรมที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอดพระชนมชีพว่าสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุดนั้น
เป็นสัจธรรมที่ไม่ยกเว้นแม้แต่พระองค์เอง
…………………………………………………….
พระพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน
ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ