ช่างจัดดอกไม้คนหนึ่ง ชื่อ “สุมนะ”

ในกรุงราชคฤห์ มีช่างจัดดอกไม้คนหนึ่ง     ชื่อ “สุมนะ” ทุกๆ เช้า เขาจะนำดอกมะลิ ๘ ทะนาน ไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร และจะได้ทรัพย์มาเป็นค่าดอกไม้วันละ ๘ กหาปณะเป็นประจำ

        วันหนึ่ง ขณะที่เขาถือดอกไม้จะนำไปถวายพระราชา พระบรมศาสดาเสด็จมาบิณฑบาต พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์จำนวนมาก พระพุทธองค์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีออกจากพระวรกาย

   นายสุมนะเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธามาก อยากจะถวายดอกมะลิทั้ง ๘ ทะนาน ที่ถืออยู่ในมือ เพื่อเป็นพุทธบูชา   

        เขาคิดว่า
 “ถ้าหากพระราชาไม่ได้รับดอกไม้เหล่านี้ในวันนี้ เราอาจจะถูกประหาร หรือถูกเนรเทศออกจากแว่นแคว้นก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะถึงพระราชาจะทรงอนุเคราะห์เรา ด้วยการพระราชทานทรัพย์เป็นค่าดอกไม้ ก็คงพอเลี้ยงชีวิตได้แค่ในภพชาตินี้เท่านั้น แต่การบูชาพระบรมศาสดาด้วยดอกไม้เหล่านี้ จะทำให้เราได้รับความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า” 

        เขาคิดอย่างนี้แล้วก็ตัดสินใจสละชีวิต โปรยดอกไม้ทั้ง   ๘ ทะนาน บูชาพระบรมศาสดาทันที ทันใดนั้น สิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น คือ ดอกมะลิทั้ง ๘ ทะนาน 

ไม่ได้ตกถึงพื้นดินเลย ดอกมะลิ ๒ ทะนาน 
ได้กลายเป็นเพดานดอกไม้ แผ่อยู่เหนือพระเศียรของพระบรมศาสดา 

อีก ๒ ทะนาน แผ่เป็นกำแพงดอกไม้ลอยอยู่ข้างขวา และ ๒ ทะนานอยู่ข้างซ้าย  

ส่วนอีก ๒ ทะนาน อยู่ข้างหลัง กำแพงดอกไม้ทั้งหมดนี้ ลอยไปพร้อมกับพระบรมศาสดา 

เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำเนิน กำแพงดอกมะลิทั้งหมดก็ลอยตามไป เมื่อประทับยืน กำแพงดอกมะลิก็หยุดอยู่กับที่เหมือนกัน

        นายสุมนะเห็นดังนั้น เกิดความปีติปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง ได้ถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วกลับไปยังเรือนของตน เมื่อกลับไปถึงบ้าน ภรรยาของเขาถามหาดอกไม้สำหรับพระราชา 
เขาตอบว่า   
“ถวายพระบรมศาสดาไปแล้ว”

        ภรรยาถามอีกว่า
 “แล้วจะหาดอกไม้ที่ไหนไปถวายพระราชาล่ะ” 

        เขาตอบว่า 
“ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่า ยอมสละชีวิตถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระบรมศาสดา ถ้าพระราชาจะลงพระอาญาอย่างไร ฉันก็ยอม”

        ภรรยาเขาเกิดความกลัวในพระอาญา จึงต่อว่าสามีว่า “ทำไมโง่อย่างนี้ ! เธอไม่รู้หรอกหรือว่า ธรรมดาพระราชาจะให้คุณหรือโทษ พระองค์ก็ทำได้อย่างเต็มที่ ถ้าทำให้พระองค์กริ้วเพียงครั้งเดียว ก็อาจเกิดความพินาศได้ ฉันไม่ยอมรับกรรมไปกับเธอด้วยหรอก”

        นางรีบพาลูกไปเฝ้าพระราชา กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดเพื่อเอาตัวรอดว่า สิ่งที่นายสุมนะทำไปนั้น ขอให้เป็นเรื่องของเขาเพียงผู้เดียว ตนเองไม่ข้องเกี่ยวด้วย และจะขอหย่ากับนายสุมนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

        พระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นสัมมาทิฏฐิ และบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว จึงมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย พอได้สดับแล้วพระองค์รู้สึกชื่นชมนายสุมนะ แต่ก็แกล้งทำเป็นพิโรธตรัสว่า 

“เราต้องเอาผิดกับนายสุมนะให้จงได้”    

รับสั่งให้ภรรยานายสุมนะกลับไป แล้วพระองค์ก็รีบตามเสด็จพระบรมศาสดาไปตลอดทาง

        พระบรมศาสดาทรงทราบว่า พระราชามีจิตเลื่อมใส   จึงเสด็จดำเนินต่อไปเพื่อให้พระราชาได้อนุโมทนาในการทำความดีของนายสุมนะ พระองค์ไม่ทรงประทานบาตรให้ใครเลย เสด็จไปจนถึงพระลานหลวง 

จึงได้ประทานบาตรแก่พระราชา พระพุทธองค์เสวยภัตตาหารที่พระลานหลวง ทรงอนุโมทนา แล้วจึงเสด็จกลับสู่พระวิหาร ซึ่งดอกไม้เหล่านั้นยังคงลอยติดตามพระองค์ไปตลอดเวลา จนกระทั่งเสด็จเข้าไปสู่พระคันธกุฎี ดอกไม้จึงได้ตกลงที่ซุ้มประตู

        พระเจ้าพิมพิสารส่งเสด็จพระบรมศาสดาแล้ว ทรงรับสั่ง ให้นายสุมนะเข้าเฝ้า ตรัสยกย่องการกระทำของเขา ที่กล้าสละชีวิตเพื่อบูชาพระพุทธองค์ และได้พระราชทาน ช้าง ม้า ทาส ทาสี นารีผู้ประดับด้วยเครื่องอลังการ อย่างละ ๘ พร้อมทั้ง บ้านส่วย และทรัพย์ ๑ พันกหาปณะ กับเครื่องประดับชื่อว่า   
 มหาปสาธน์ แก่เขา

        พระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธองค์ถึงผลของการบูชาที่นายสุมนมาลาการได้กระทำว่า จะมีผลเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ตรัสว่า

        “อานนท์ นายมาลาการนี้ สละชีวิตเพื่อเรา ทำการบูชาด้วยดอกไม้ จักไม่ไปสู่ทุคติตลอดแสนกัป จะท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ต่อไปภายภาคหน้าจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่าสุมนะ”   

        การบูชาบุคคลที่ควรบูชามีอานิสงส์ยิ่งใหญ่  แม้จะเป็นเพียงอามิสบูชา แต่ถ้าหากทำถูกที่ ถูกทักขิไณยบุคคล และทำด้วยจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว ย่อมได้รับผลอันไพบูลย์  

ดังนั้นการบูชาบุคคลที่ควรบูชา จึงได้ชื่อว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง ไม่ว่าท่านผู้ควรบูชาทั้งหลาย จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม การบูชาก็มีอานิสงส์ไพศาลเช่นกัน ดังเช่นที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบทว่า

        ใครๆ ไม่อาจนับบุญของบุคคลผู้บูชาได้ว่า บุญนี้จะมีประมาณเท่าใด ไม่ว่าจะด้วยวิธีนับอย่างไรก็ตาม ซึ่งท่านผู้ควรบูชา คือ พระพุทธเจ้า หรือพระสาวกทั้งหลาย ผู้ข้ามพ้นธรรมที่ทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว ผู้ข้ามพ้นความเศร้าโศกและความคร่ำครวญแล้ว ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะยังมีชีวิตอยู่ หรือปรินิพพานแล้ว

………………………………………………………
..ความศรัทธาในพระรัตนตรัยเป็นบ่อเกิดของวาสนาและโภคทรัพย์..

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ