กำเนิดนางสามาวดี

กำเนิดนางสามาวดี

ครั้งนั้น ภัททวติยเศรษฐี นี้ปรึกษากับภริยาว่า น้องเอ๋ย ฉาตกภัย(ภัยจากความแห้งแล้งอดอยาก)นี้ยังไม่ปรากฏภายใน จำเราจักไปหาโฆสกเศรษฐีสหายเราในกรุงโกสัมพี สหายนั้นพบเรา คงจะไม่รู้จัก 

ภัททวติยเศรษฐีนั้น ให้คนที่เหลือกลับกันแล้ว ก็พาภริยาและธิดา

เดินทางไปกรุงโกสัมพี ทั้งสามคนประสบทุกข์เป็นอันมากในระหว่างทาง ก็บรรลุกรุงโกสัมพีตามลำดับ

พักอาศัยอยู่ ณ ศาลาหลังหนึ่ง ฝ่ายโฆสกเศรษฐี ให้เขาจัดมหาทานแก่พวกคนกำพร้า คนเดินทางไกล วณิพก และยาจกใกล้ประตูเรือนของตน

ครั้งนั้น ภัททวติยเศรษฐีนี้ ก็คิดว่า เราไม่อาจแสดงตัวแก่เศรษฐีสหาย ด้วยเพศของคนกำพร้านี้ได้ เมื่อร่างกายเป็นปกติ เรานุ่งห่มดีแล้วจึงจักไปพบเศรษฐี 

ทั้งสองคนก็ส่งธิดาไปโรงทานของโฆสกเศรษฐีเพื่อนำอาหารมาให้ตน ธิดานั้นก็
ถือภาชนะไปโรงทาน ยืนเอียงอายอยู่

ณ โอกาสแห่งหนึ่ง คนจัดการทานเห็นนางก็คิดว่า คนอื่น ๆ ทำเสียงดังเหมือนกับชาวประมงแย่งซื้อและขายปลาในที่ประชุมพร้อมหน้ากัน ได้แล้วก็ไป

ส่วนเด็กหญิงผู้นี้ คงจักเป็นกุลธิดา เพราะฉะนั้น อุปธิสัมปทาของนางจึงมีอยู่ แต่นั้นจึงถามนางว่า แม่หนู เหตุไรเจ้าจึงไม่รับเหมือนกะคนอื่น ๆ เล่า

นางตอบว่า พ่อท่าน ดิฉันจักกระทำการเบียดเสียดกันขนาดนี้เข้าไปได้อย่างไร

เขาถามว่า แม่หนู พวกเจ้ามีกี่คนเล่า
นางตอบว่า ๓ คนจ้ะ พ่อท่าน

เขาก็ให้ข้าว ๓ ก้อน นางก็ให้ข้าวนั้นแก่บิดามารดา บิดาหิวโหยมานานกินเกินประมาณก็เลยตาย

รุ่งขึ้น นางก็ไปรับข้าวมา ๒ ก้อนเท่านั้น วันนั้นภริยาเศรษฐี ก็ตายเสียเมื่อเลยเที่ยงคืน เพราะลำบากด้วยอาหารและเพราะเศร้าโศกถึงเศรษฐีที่ตาย

วันรุ่งขึ้น ธิดาเศรษฐีรับก้อนข้าวก้อนเดียวเท่านั้น คนจัดการทาน ใคร่ครวญดูกิริยาของนาง จึงถามว่า แม่หนู วันแรกเจ้ารับก้อนข้าวไป ๓ ก้อน รุ่งขึ้นรับก้อนข้าวไป ๒ ก้อน วันนี้รับก้อนข้าวก้อนเดียวเท่านั้น เกิดเหตุอะไรขึ้นหรือ

นางจึงบอกเล่าเหตุการณ์นั้น

เขาถามว่า แม่หนูเจ้าเป็นชาวบ้านไหนเล่า นางก็เล่าเหตุการณ์โดยตลอด เขากล่าวว่า แม่หนู เมื่อเป็นดังนั้น เจ้าก็เป็นธิดาเศรษฐีของเรา เราไม่มีเด็กหญิงอื่น ๆ เจ้าจง เป็นธิดาเราเสียตั้งแต่บัดนี้ แล้วก็รับนางไว้เป็นธิดา.

นางได้ยินเสียงดังอื้ออึงในโรงทานก็ถามว่า พ่อท่าน เหตุไรจึง เสียงดังลั่น ดังนี้

เขาก็ตอบว่า แม่หนู ในระหว่างคนมาก ๆ ไม่อาจทำให้มีเสียงเบาลงได้ดอก

นางกล่าวว่า พ่อท่าน ฉันรู้อุบายในเรื่องนี้

เขาถามว่า ควรจะทำอย่างไรเล่า แม่หนู
นางบอกว่า พ่อท่าน พวกท่าน จงทำรั้วไว้

รอบ ๆ ประกอบประตู ๒ ประตู ให้ตั้งภาชนะแจกทานไว้ข้างใน ให้คนเข้าไปทางประตูหนึ่ง รับอาหารแล้วให้ออกไปทางประตูหนึ่ง
เขารับว่า ดีละแม่หนู แล้วก็ให้กระทำอย่างนั้นตั้งแต่วันรุ่งขึ้น

นับแต่นั้นมาโรงทานก็มีเสียงเงียบสงบไป แต่ก่อนนั้น โฆสกเศรษฐี ได้ยินเสียงดังอื้ออึงในโรงทานเสมอมา

วันนั้น เมื่อไม่ได้ยินเสียงดังมาจากโรงทาน จึงเรียกคนจัดการทานมาถามว่า วันนี้ท่านให้เขาให้ทานแล้วหรือ

เขาตอบว่า ให้ทานแล้ว นายท่าน
เศรษฐีถามว่า ถ้าเช่นนั้น เหตุไรจึงไม่ได้ยินเสียงในโรงทานเหมือนแต่ก่อน

เขาตอบว่า จริงสิ นายท่าน ผมมีธิดาอยู่คนหนึ่ง ผมทำตามอุบายที่นางบอก จึงทำโรงทานให้ไม่มีเสียง

เศรษฐีถามว่า เจ้าไม่มีธิดา เจ้าได้ธิดามาแต่ไหน

คนจัดการทานนั้น ก็เล่าเรื่องที่ได้ธิดามาทุกอย่างแก่เศรษฐี เพราะไม่อาจจะหลอกลวงได้

เศรษฐีกล่าวว่า พ่อมหาจำเริญ เหตุไรเจ้าจึงได้ทำกรรมหนักเห็นปานนี้ ไม่บอกเรื่องธิดาซึ่งอยู่ในสำนักตนแก่เราเสียตั้งนานเพียงนี้ เจ้าจงรีบให้ นำนางมาไว้เรือนเรา

คนจัดการทานนั้นฟังคำเศรษฐีแล้ว ก็ให้นำนางมา ทั้งที่ตนไม่ประสงค์เช่นนั้น

ตั้งแต่นั้นมา เศรษฐีก็ตั้งนางไว้ในตำแหน่งธิดา และเมื่อจะรับขวัญธิดา จึงจัดหญิงสาว ๕๐๐ นางที่มีวัยรุ่นเดียวกัน จาก สกุลที่มีชาติทัดเทียมกับตนมาเป็นบริวารของนาง.

ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าอุเทนเสด็จตรวจพระนครทอดพระเนตรเห็น นางสามาวดีนั้น มีหญิงสาวเหล่านั้นแวดล้อมเล่นอยู่ ตรัสถามว่า เด็กหญิง นี้ของใคร

ครั้นทรงสดับว่าเป็นธิดาของโฆสกเศรษฐี ก็ตรัสถามว่า ไม่มีสามีหรือ เมื่อเขาทูลว่า ไม่มีสามี จึงดำรัสสั่งว่า พวกเจ้าจงไปบอกเศรษฐีว่าพระราชามีพระราชประสงค์ธิดาท่าน

เศรษฐีฟังแล้วบอกเขาว่า เราไม่มีเด็กหญิงอื่น ๆ ไม่อาจให้ธิดาคนเดียวอยู่กับสามีได้

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วสั่งให้เศรษฐีและภริยาออกมาจากบ้าน แล้วมีรับสั่งให้ปิดประตูตีตราทั่วทุกหลังทุกเรือนของเศรษฐี

นางสามาวดีไปเล่นเสียนอกบ้าน กลับมาเห็นบิดามารดานั่งอยู่นอกบ้าน จึงถามว่า

แม่จ๋า พ่อจ๋า เหตุไรจึงมานั่งที่นี้

เศรษฐีและภริยาก็แจ้งเหตุนั้น นางจึงกล่าวว่า

แม่จ๋า พ่อจ๋า อย่าทูลตอบพระราชาอย่างนั้นสิจ๊ะ บัดนี้ จงให้ทูลอย่างนี้นะพ่อนะว่า ธิดาของเราไม่อาจอยู่ผู้เดียวกับสามีได้ ถ้าพระองค์ทรงให้หญิงสาว ๕๐๐ คน บริวารของนางอยู่ด้วย นางจึงจะไป

เศรษฐีกล่าวว่า ดีละลูกเอ๋ย พ่อไม่รู้จิตใจของเจ้านี่

เศรษฐีและภริยา จึงกราบทูลอย่างนั้น พระราชาทรงเลื่อมใสยิ่งขึ้นไป ตรัสว่า ๑,๐๐๐ คน ก็ช่างเถิด จงนำมาทั้งหมด

ครั้งนั้น เศรษฐีและภริยาจึงนำธิดานั้น พร้อมทั้งหญิง ๕๐๐ คนเป็นบริวารไปยังพระราชนิเวศน์ โดยมงคลนักษัตรฤกษ์อันเจริญ พระราชาก็ทรงทำหญิง ๕๐๐ คนเป็นบริวารของนางแล้ว ทรงอภิเษกให้นางอยู่ในปราสาทหลังหนึ่ง.

…………………………………………………

ชีวิตมีกรรมกำหนดมาแล้ว
สูงสุดต่ำสุด วนเวียนเปลี่ยนไป
ตามกรรมดีกับชั่ว

เศรษฐีโฆสกเคยมีเจตนาทิ้งลูกเพราะคิดว่า เดี๋ยวก็มีลูกใหม่ได้..

เกิดเป็นหมา เพราะก่อนตายอิจฉาหมากินดีกว่าตัวเอง

เกิดเป็นหมา มีจิตเลื่อมใสในพระปัจเจกพุทธเจ้า เห่าบอกทางตลอดชีวิตของมัน
ตายไปเป็นเทวดา มีเสียงดังกังวาลบนสวรรค์

เกิดใหม่เป็นลูกโสเภณี แม่อุ้มไปทิ้งเพราะเกิดเป็นผู้ชาย ถูกทิ้งถึง7ครั้งด้วยความอิจฉาของเศรษฐีที่เลี้ยงมา

ด้วยบุญในครั้งที่เป็นหมาสัตว์เดรัจฉาแท้ๆ ทำให้สัตวต่างก็ปกป้องอยู่รอดจนได้มาเป็นเศรษฐี มีความเลื่อมใสในการให้ทาน และมาเป็นญาติกับพระราชาอีก

..ไม้ล้มข้ามได้..คนล้มอย่าข้าม..

..คนทำดีทุกวันไม่กลัวความตาย..
..คนไม่ทำความดีตายทุกวัน..ตายทั้งเป็น..

..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..