วันอังคารที่22กุมภาพันธ์2565

วันอังคารที่22กุมภาพันธ์2565

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายผ้าป่าบังสกุล ถวายบาตร
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
เข้าฝึกอบรมท่องจำพระปาติโมกข์
ณ.วัดนาแก ต.นาแก
อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.วัดดงก้าวกัลยาราม ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา
ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมประจำปี2565
ณ.วัดป่าโนนกุดหล่ม ต.เขวา อ.เมือง
จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
วัดป่ากตัญญุตาราม อ.พนพไพร
จ.ร้อยเอ็ด

น้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย เพื่อประโยชน์เพื่อความเจริญรุ่งเรีองแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป

ขออนุโมทนาบุญกับทุกบาททุกสตางค์

ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในบุญของท่านด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร

มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร
มัฏฐกุณฑลี เป็นเด็กหนุ่มชาวเมืองสาวัตถี เกิดในตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่เป็นคนมั่งคั่งมาก แต่ตระหนี่เหนียวแน่น จนคนทั้งหลายให้สมยานามว่า
อทินนปุพพกะ แปลว่า “ไม่เคยให้อะไรแก่ใคร”
ถึงกระนั้นก็ยังมีแก่ใจเอาทองตีแผ่ทำเป็นตุ้มหูเกลี้ยงๆ ให้ลูกชาย 1 คู่ คนทั้งหลายจึงเรียกชื่อเด็กคนนี้ว่า
มัฏฐกุณฑลี แปลว่า “มีตุ้มหูเกลี้ยง”
ตุ้มหูนั้นพ่อเป็นคนทำให้เอง ไม่ได้จ้างช่างทอง เพราะเกรงจะเสียค่าจ้าง
เมื่ออายุ 16 ปี มัฏฐกุณฑลีป่วยหนัก บาลีว่าเป็นโรคผอมเหลือง คือวัณโรคนั่นเอง มารดามองดูบุตรแล้วเกิดความสงสาร จึงขอร้องให้สามีไปหาหมอ
แต่ฝ่ายพราหมณ์ผู้เป็นสามีกลัวเสียเงินจึงไม่ยอมหาหมอมารักษาลูก เขาเพียงแต่ไปถามหมอว่า คนป่วยอย่างนั้นๆ ท่านให้ยาอย่างไร
หมอก็บอกว่าให้ยาที่ประกอบด้วยสิ่งนั้นๆ พราหมณ์จึงไปหารากไม้ใบไม้ตามที่หมอบอกมาต้มให้ลูกกิน
อาการของมัฏฐกุณฑลีไม่ดีขึ้น มีแต่ทรุด จนไม่อาจเยียวยาได้ พราหมณ์จึงไปหาหมอมาคนหนึ่ง หมอมาเห็นอาการของมัฏฐกุณฑลีเข้า
รู้ได้ทันทีว่า เหลือแรงที่จะรักษาจึงบอกปฏิเสธ ไม่ยอมรักษา บอกให้พราหมณ์ไปหาหมอคนอื่น
พราหมณ์รู้ว่าลูกของตัวคงตายแน่ เกรงว่าคนมาเยี่ยมจะเห็นทรัพย์สมบัติ จึงช่วยกันหามลูกชาย ออกมานอนที่ระเบียงเรือนนอกห้อง
วันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูอุปนิสัยของคนที่พระองค์ควรจะโปรด ทรงเห็นอุปนิสัยของมัฏฐกุณฑลี จึงเสด็จมาโปรด
ขณะที่พระศาสดาเสด็จมาถึงนั้น มัฏฐกุณฑลีกำลังนอนผินหน้าเข้าหาฝาเรือน พระศาสดาทราบว่า มานพไม่เห็นพระองค์
จึงทรงเปล่งพระรัศมีไปวาบหนึ่ง
มานพคิดว่า “นี่แสงอะไรกันหนอ?”
แล้วผินหน้าออกภายนอก
ได้เห็นพระศาสดา คิดว่า
“เพราะบิดาของเราเป็นอันธพาล เราจึงมิได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐเห็นปานนี้ มิได้ขวนขวายในกิจที่ชอบ มิได้ถวายทาน หรือฟังธรรมแต่อย่างใดอย่างหนึ่งเลย บัดนี้ แม้แต่มือของตัวเอง เราก็ยกไม่ไหวเสียอีก จะทำอย่างอื่นได้อย่างไร”
ดังนี้แล้ว ทำจิตให้เสื่อมใสในพระศาสดา
พระพุทธองค์ทรงทราบว่า มัฏฐกุณฑลี ทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์แล้วก็เสด็จออกไป พอลับตาเท่านั้น มัฏฐกุณฑลีก็สิ้นชีพเกิดในวิมานทอง เสมือนว่าหลับแล้วตื่นขึ้น
ฝ่ายพราหมณ์บิดา ทำฌาปนกิจศพลูกชายแล้ว ก็ได้แต่ร้องไห้ ไปยืนร้องไห้ที่ป่าช้าทุกวัน คร่ำครวญว่า ลูกชายคนเดียวของพ่ออยู่ไหน มาหาพ่อเถิด
เทพบุตรมัฏฐกุณฑลี รู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ในเทวโลกแล้ว พิจารณาถึงทิพยสมบัติของตน ก็รู้เห็นโดยตลอดว่าได้มาเพราะทำจิตให้เลื่อมใสในพระศาสดา ได้มองเห็นพราหมณ์บิดา ยืนร้องไห้อยู่ที่ป่าช้า
จึงจำแลงเพศ คล้ายมัฏฐกุณฑลีมานพลงมา ยืนกอดแขนร้องไห้อยู่ ณ อีกมุมหนึ่งของป่าช้า เขามีความประสงค์จะเอาหนามมาบ่งหนามในใจของพราหมณ์
พราหมณ์ได้ยินเสียงคนร้องไห้ เหลียวไปเห็นมานพคล้ายมัฏฐกุณฑลีบุตรของตน จึงเดินเข้าไปหา และถามว่า
“พ่อหนุ่ม, ท่านแต่งกายคล้ายมัฏฐกุณฑลี บุตรของข้าพเจ้า ท่านมายืนร้องไห้อยู่ที่ป่าช้านี้ เพราะมีทุกข์ประการใดฤา?”
“ก็ท่านเล่ามีความทุกข์อะไร?” มานพถาม “ข้าพเจ้าเศร้าโศกถึงบุตรคนเดียวของข้าพเจ้าที่ตายไป”
“ข้าพเจ้ามีรถอยู่คันหนึ่ง” มานพตอบ
, “ตัวรถเป็นทองคำล้วน ผุดผ่อง สวยงาม แต่ข้าพเจ้าหาล้อรถไม่ได้ ข้าพเจ้าคงจักต้องตรอมใจตายเพราะเหตุนี้เป็นแน่แท้”
พราหมณ์ตกตะลึง ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“มานพผู้เจริญ! ท่านจะต้องการล้อทอง หรือเงินหรือแก้วมณี หรือโลหะ จงบอกมาเถิด ข้าพเจ้ารับประกันว่าจะจัดหามาให้ท่าน”
มานพคิดว่า
“ดู๋ดู พราหมณ์นี้ช่างเป็นไปได้ เมื่อบุตรของตนป่วยหนักนั้นไม่ยอมเสียเงินรักษาแม้เพียงเล็กน้อย บัดนี้เห็นเรามีรถทองจะยอมจ่ายล้อรถให้ไม่ว่าเป็นล้อทองหรือล้อเงิน อา! พราหมณ์นี้เป็นอันธพาลจริงๆ แต่ช่างเถอะ เราจะล้อแกเล่น”
จึงกล่าวว่า
“พราหมณ์เอย! สิ่งอื่นใดอันจักควรเป็นล้อรถของข้าพเจ้าหามีไม่ นอกจากดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์เท่านั้น หากได้ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มาประกอบเป็นล้อ รถของข้าพเจ้าคงจะงามเยี่ยม ไม่มีอะไรเสมอเหมือน”
พราหมณ์คิดว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงเป็นบ้าอย่างแน่นอน จึงกล่าวว่า
“ท่านต้องการสิ่งที่ไม่อาจให้เป็นไปได้ ท่านโง่เขลาเหลือเกิน ท่านตายแล้วเกิดเล่าอีกสักเท่าใดก็ไม่อาจดึงเอาดวงจันทร์ดวงอาทิตย์มาเป็นล้อรถของท่านได้”
มานพตอบว่า
“พราหมณ์! ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ยังปรากฏให้เห็นอยู่ ข้าพเจ้าต้องการสิ่งที่พอมองเห็นได้ ส่วนท่านร้องไห้คร่ำครวญต้องการสิ่งอันใครๆ ก็มองไม่เห็น ในระหว่างเราทั้งสองใครเป็นพาลกว่ากัน ใครโง่กว่าใคร”
พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นกลับได้สติ ยอมรับว่ามานพน้อยพูดถูก ตนเป็นผู้โง่เขลากว่า เพราะต้องการสิ่งอันมองไม่เห็น และไม่เคยมีใครเรียกคืนมาได้
พราหมณ์ได้กล่าวชมเชยมานพนั้นว่า
“ข้าพเจ้าเป็นผู้เร่าร้อนหนักหนา ท่านได้รดน้ำคือความเห็นถูกมาให้ข้าพเจ้า กลับกลายเป็นผู้เย็น ประหนึ่งท่านนำน้ำมาดับไฟ ความกระวนกระวายทั้งปวงของข้าพเจ้าดับลงแล้ว
ความเศร้าโศกถึงบุตรก็บรรเทาลงแล้ว ท่านได้ถอนลูกศรคือความโศกออกจากหทัยของข้าพเจ้าเสียได้
คำของท่านประเสริฐนัก ช่วยดับความร้อนและความโศกในใจของข้าพเจ้าได้”
แลแล้วพราหมณ์ได้ถามว่า มานพนั้นคือใคร มานพก็บอกว่า เขาคือมัฏฐกุณฑลี บุตรของพราหมณ์นั่นเอง ได้ทำกุศลกรรมไว้ก่อนตาย จึงได้ไปเกิดเป็นเทพ
พราหมณ์กล่าวว่า อยู่ด้วยกันมายังไม่เคยเห็นบุตรของตนให้ทาน หรือรักษาศีลแต่ประการใด มานพไปสู่เทวโลกได้ด้วยกรรมอันใด
มานพเล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดให้ฟัง พราหมณ์ฟังแล้วเกิดปีติปราโมทย์เป็นอันมาก กล่าวว่า
“น่าอัศจรรย์จริงหนอ น่าประหลาดจริงหนอ การทำอัญชลีกรรมแด่พระพุทธเจ้ามีผลถึงปานนี้ ข้าพเจ้าจักทำใจให้เลื่อมใส นับถือพระพุทธเจ้าในวันนี้ทีเดียว”
พราหมณ์ได้ปฏิญาณกับมานพว่าจักรักษาศีลให้ทานและเลื่อมใสในพระรัตนตรัย แล้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลอาราธนาให้ไปเสวยภัตตาหารที่เรือนของตนในวันรุ่งขึ้น
พระศาสดาทรงรับ
เมื่อถึงเวลาก็เสด็จไปบ้านพราหมณ์ ประชาชนมาประชุมกันมาก พวกหนึ่งตั้งใจมาดูพราหมณ์ต้อนรับพระพุทธเจ้าด้วยการถามปัญหา
พวกหนึ่งต้องการมาดูพุทธวิสัย พุทธลีลา
เมื่อเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว พราหมณ์ได้ทูลถามพระศาสดาว่า
“มีหรือพระโคดม-บุคคลไม่ได้ถวายทานแด่พระองค์ ไม่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้รักษาอุโบสถ แต่ได้ไปเกิดในสวรรค์ ด้วยเหตุเพียงการทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียว”
พระศาสดาตรัสตอบว่า”พราหมณ์! ท่านถามความข้อนี้กับเราทำไมอีกเล่า ในเมื่อมัฏฐกุณฑลีได้บอกความจริงข้อนี้แก่ท่านแล้ว”
เมื่อพราหมณ์แกล้งสงสัยและถาม พระศาสดาก็ทรงเล่าเรื่องการพบปะและการสนทนาทั้งปวงระหว่างมัฏฐกุณฑลี
พระศาสดาทรงทราบว่า มหาชนที่มาประชุมกันยังไม่สิ้นสงสัย จึงทรงอธิษฐานให้มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมา พร้อมทั้งวิมาน พระองค์ทรงสัมภาษณ์เทพบุตรนั้น มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรทูลตอบตามความเป็นจริงทุกประการ
มหาชนได้ฟังการถามการตอบระหว่างพระพุทธเจ้าและเทพบุตรแล้ว อุทานออกมาด้วยปีติโสมนัสและเลื่อมใสว่า
“ดูเถิดท่านทั้งหลาย บุตรของพราหมณ์เชื่ออทินน ปุพพกะ ไม่ได้ทำบุญอย่างอื่นเลย เพียงแต่ทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังได้สมบัติเห็นปานนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณน่าอัศจรรย์แท้”
พระศาสดาจึงตรัสว่า

“สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสำคัญที่ใจ ฯลฯ ถ้าใจดี ใจผ่องใส การทำการพูดก็พลอยดีไปด้วย เพราะความดีนั้น ความสุขก็ติดตามมา เหมือนเงาตามตน”

.
..มีทรัพย์..ไม่ใช้ไม่แบ่งปันก็เหมือนไม่มี..
..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันจันทร์ที่21กุมภาพันธ์2565

วันจันทร์ที่21กุมภาพันธ์2565

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
เข้าฝึกอบรมท่องจำพระปาติโมกข์
ณ.วัดนาแก ต.นาแก
อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.วัดดงก้าวกัลยาราม ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมประจำปี2565
ณ.วัดป่าโนนกุดหล่ม ต.เขวา อ.เมือง
จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
วัดป่ากตัญญุตาราม อ.พนพไพร
จ.ร้อยเอ็ด

น้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย เพื่อประโยชน์เพื่อความเจริญ
รุ่งเรีองแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป

ขออนุโมทนาบุญกับทุกบาททุกสตางค์

ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในบุญของท่านด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันอาทิตย์ที่20กุมภาพันธ์2565

วันอาทิตย์ที่20กุมภาพันธ์2565

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
เข้าฝึกอบรมท่องจำพระปาติโมกข์
ณ.วัดนาแก ต.นาแก
อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.วัดดงก้าวกัลยาราม ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมประจำปี2565
ณ.วัดป่าโนนกุดหล่ม ต.เขวา อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
วัดป่ากตัญญุตาราม อ.พนพไพร
จ.ร้อยเอ็ด

น้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย
เพื่อประโยชน์เพื่อความเจริญ
รุ่งเรีองแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป

ขออนุโมทนาบุญกับทุกบาททุกสตางค์

ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในบุญของท่านด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันเสาร์ที่19กุมภาพันธ์2565

วันเสาร์ที่19กุมภาพันธ์2565
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
เข้าฝึกอบรมท่องจำพระปาติโมกข์
ณ.วัดนาแก ต.นาแก
อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.วัดดงก้าวกัลยาราม ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมประจำปี2565
ณ.วัดป่าโนนกุดหล่ม ต.เขวา อ.เมือง
จ.ศรีสะเกษ
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
วัดป่ากตัญญุตาราม อ.พนพไพร
จ.ร้อยเอ็ด
น้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย เพื่อประโยชน์เพื่อความเจริญ
รุ่งเรีองแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป
ขออนุโมทนาบุญกับทุกบาททุกสตางค์

ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในบุญของท่านด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันศุกร์ที่18กุมภาพันธ์2565

วันศุกร์ที่18กุมภาพันธ์2565
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
เข้าฝึกอบรมท่องจำพระปาติโมกข์
ณ.วัดนาแก ต.นาแก
อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.วัดดงก้าวกัลยาราม ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา
ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมประจำปี2565
ณ.วัดป่าโนนกุดหล่ม ต.เขวา อ.เมือง
จ.ศรีสะเกษ
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
วัดป่ากตัญญุตาราม อ.พนพไพร
จ.ร้อยเอ็ด
น้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย
เพื่อประโยชน์เพื่อความเจริญ
รุ่งเรีองแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป
ขออนุโมทนาบุญกับทุกบาททุกสตางค์

ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในบุญของท่านด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

สี่ประการที่พระพุทธองค์ ทำไม่ได้…

วันหนึ่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า กำลังแสดงพระธรรมเทศนา
แล้วทันใดนั้นพระพุทธองค์กล่าวแก่พระอานนท์ว่า
“อานนท์เธอเอาถังน้ำใบหนึ่ง ไปเบื้องหน้า
ตามทางจะมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
มีหญิงชรานางหนึ่งกำลังซักเสื้อผ้าอยู่
ขอน้ำนางกลับมาถังหนึ่ง แต่จำไว้ ..
ต้องแสดงกิริยาสุภาพกับนางด้วย”

พระอานนท์รับคำ แล้วก็นำถังน้ำเปล่า
เดินไปทางที่พระพุทธองค์ทรงบอก คิดในใจว่า
เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ยากเย็นอะไร
ก็ไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้น เห็นสตรีชราผมขาวนางหนึ่ง
กำลังซักผ้าอยู่จริงๆ พระอานนท์จึงกล่าวปิยวาจา
ขอน้ำจากหญิงชรานั้นอย่างสุภาพ
“แม่เฒ่า แม่เฒ่า ข้าอยากจะขอน้ำสักถังจะได้ไหม”

หญิงชรานั้นมื่อได้เห็นพระอานนท์
เหมือนไม่รู้ไปโกรธใครมา “ไม่ได้หรอก น้ำในบ่อนี้
ใช้ได้แต่คนที่ในหมู่บ้านนี้เท่านั้น คนอื่นห้ามตักเชียวนะ ไม่ให้ๆ” แถมยังไล่พระอานนท์อีกเสียอย่างนั้น

พระอานนท์จะอ้อนวอนขอนางอย่างไรก็ไม่เป็นผล
พระอานนท์สิ้นหนทาง ก็เดินถือถังเปล่ากลับไป
เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วแจ้งความตามที่เกิด

พระพุทธองค์ทรงพยักหน้ารับ
แล้วบอกให้พระอานนท์นั่งลง
แล้วขอให้พระสารีบุตรไปทำแทน

พระสารีบุตรก็กล่าวเช่นเดียวกัน
“แม่เฒ่า แม่เฒ่า ข้าอยากจะขอน้ำสักถังจะได้ไหม”
ก็น่าแปลกใจ สตรีชรานางนั้นเมื่อได้เห็นพระสารีบุตร ก็ทำหน้าเหมือนได้พบกับญาติที่ไม่ได้เจอกันเนิ่นนาน ไม่โกรธ ไม่โวยวาย แถมยังกล่าวตอบด้วยดีๆ

“ได้ๆๆ เอาเลย ตามสบายเลยพระคุณเจ้า
มาๆ ข้าช่วยท่านตักน้ำดีกว่า”
ก่อนที่พระสารีบุตรจะกลับ นางก็กุลีกุจอกลับบ้าน
รีบกลับไปเอาสิ่งของมาถวายพระสารีบุตรให้พระสารีบุตร นำกลับไปอีก เมื่อพระสารีบุตรรับน้ำมาถวายพระพุทธเจ้าแล้ว ก็บอกให้พระสารีบุตรนั่งลง

พระอานนท์สงสัยเป็นกำลัง จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้า
“ด้วยเหตุอะไร จึงเป็นเช่นนี้พระพุทธเจ้าข้า”

“ที่นางปฏิบัติกับเจ้าทั้งสองแตกต่างกันเช่นนี้
เพราะในชาติอันล่วงมาแล้ว สตรีชรานางนี้
มีสภาพเป็นเดรัจฉาน เกิดเป็นหนูตัวหนึ่ง
แล้วนางก็ตายอยู่บนถนน
พระอานนท์ในชาตินั้นเป็นพ่อค้าผ่านทางมา
เมื่อได้เห็นซากของหนูตัวนั้นตายอยู่
ในใจของพระอานนท์ก็เกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียน
เดินเอามือปิดจมูกแล้วจากไป

แต่ตรงกันข้ามกับพระสารีบุตร
เมื่อพระสารีบุตรได้เห็นซากหนูตัวนั้น
ก็ให้บังเกิดจิตเวทนาสงสาร ซ้ำยังเอาซากหนูตัวนั้น
ไปฝังกลบอย่างดี เมื่อชาตินี้พวกเจ้าได้พบกันอีกครั้ง
สิ่งที่นางปฏิบัติต่อเจ้าทั้งสองจึงมีความแตกต่างกันเช่นนี้”

จิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราต้องรอบคอบ
ไม่ก้าวล่วงผู้อื่นแม้ความคิด

จากมหาปรัชญาปารมิโตปเทศน์ มีบันทึกไว้ว่า ..
พระพุทธเจ้าพร้อมพระอานนท์ เดินบิณฑบาต
ในเมืองไวศาลี พระอานนท์มองเห็นสตรีนางหนึ่ง
ยากจนข้นแค้นเป็นที่น่าสงสาร
พระอานนท์ทูลขอให้พระพุทธองค์ไปโปรดนาง
พระพุทธองค์ตรัสว่า “เรากับนางไม่มีเหตุปัจจัยผูกต่อกัน ดังนั้นนางก็จะไม่ศรัทธาในเรา เราก็ไม่สามารถที่จะโปรดนางได้”

พระอานนท์รบเร้าอยู่ถึงสามครั้ง
พระพุทธเจ้าจึงดำเนินไปหานาง เมื่อยืนต่อหน้านาง
สตรีนางนั้นก็กลับหันหลัง ไม่สนใจพระพุทธเจ้า
ไม่ว่าพระองค์จะเดินไปต่อหน้านางกี่ครั้ง
นางก็จะหันหลังให้กับพระองค์ทุกครั้ง

แม้พระพุทธองค์จะใช้ฤทธิ์ให้พระกาย
ปรากฏขึ้นทั้งสี่ทิศพร้อมกัน สตรีนางนั้นก็ปิดตาเสีย
ไม่มอง ไม่สนใจพระองค์

พระพุทธองค์ตรัสว่า..

“เราแม้จะมีอิทธิฤทธิ์มาก แต่เรามีสี่ประการที่ทำไม่ได้”

1.ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิบากกรรมได้ ใครสร้างกรรมเอาไว้ไม่มีใครรับแทนได้คนนั้นต้องรับเอง

  1. ปัญญาให้กันไม่ได้ต้องฝึกฝนเอาเองถึงจะเกิดปัญญาได้
  2. ความศรีวิไล ของ ธรรมะ ไม่สามารถสื่อทางภาษาได้ ความจริงแท้ในจักรวาลต้องใช้การปฏิบัติหนทางเดียวเท่านั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง
  3. คนที่ไม่มีวาสนาที่ดีกับเรา
    จะฟังไม่เข้าถึงใจเขา เราจึงโปรดเขาไม่ได้ ฝนแม้จะตกทั่วฟ้า ก็ยังไม่เกิดประโยชน์กับหญ้าที่ไร้ราก พระธรรมแม้จะกว้างใหญ่ไพศาล ก็ยากที่จะโปรดคนไร้วาสนา

พระอานนท์จึงได้ประจักษ์แก่คำพูดของพระพุทธเจ้าที่ว่า …

“หากไร้วาสนา ไร้ปัจจัยผูกพันต่อกัน ไม่สามารถโปรดกันได้” แม้กับพระพุทธเจ้าเองก็ไม่มียกเว้น…

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันพฤหัสบดีที่17กุมภาพันธ์2565

วันพฤหัสบดีที่17กุมภาพันธ์2565

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
เข้าฝึกอบรมท่องจำพระปาติโมกข์
ณ.วัดนาแก ต.นาแก
อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.วัดดงก้าวกัลยาราม ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรม
ประจำปี2565
ณ.วัดป่าโนนกุดหล่ม ต.เขวา อ.เมือง
จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
วัดป่ากตัญญุตาราม อ.พนพไพร
จ.ร้อยเอ็ด

น้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย เพื่อประโยชน์เพื่อความเจริญรุ่งเรีองแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป

ขออนุโมทนาบุญกับทุกบาททุกสตางค์

ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในบุญของท่านด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันพุธที่16กุมภาพันธ์2565

วันพุธที่16กุมภาพันธ์2565
ทำบุญวันมาฆบูชา
ถวายปัจจัย
แก่พระสงฆ์โครงการสวดท่องจำพระปาติโมกข์ประจำปี2565
วัดป่านาแก จ.ยโสธร

ถวายปัจจัยเจาะน้ำบาดาลวัดป่าภาวนาภิรมณ์ จ.พะเยา

ถวายปัจจัยเข้ากองทุนเพื่อการศึกษาแก่พระสงฆ์สามเณร
ร่วมถวายปัจจัยแก่พระอาพาธ
อุทยานธรรมดงยาง

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายรถยนต์เพื่อใช้ในงานพระพุทธศาสนา
อุทยานธรรมดงยาง

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
เข้าฝึกอบรมท่องจำพระปาติโมกข์
ณ.วัดนาแก ต.นาแก
อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.วัดดงก้าวกัลยาราม ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณรอุบาสก อุบาสิกา
ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมประจำปี2565
ณ.วัดป่าโนนกุดหล่ม ต.เขวา อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
วัดป่ากตัญญุตาราม อ.พนพไพร จ.ร้อยเอ็ด

น้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย
เพื่อประโยชน์เพื่อความเจริญรุ่งเรีองแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป

ขออนุโมทนาบุญกับทุกบาททุกสตางค์

ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในบุญของท่านด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้..วันพระขึ้น15ค่ำเดือน3ปีฉลู วันมาฆบูชา

วันนี้..วันพระขึ้น15ค่ำเดือน3ปีฉลู
วันมาฆบูชา
การเว้นจากความชั่วทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
—หัวใจพระปาติโมกข์–
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันอังคารที่15กุมภาพันธ์2565

วันอังคารที่15กุมภาพันธ์2565
เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
เข้าฝึกอบรมท่องจำพระปาติโมกข์
ณ.วัดนาแก ต.นาแก
อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.วัดดงก้าวกัลยาราม ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมประจำปี2565
ณ.วัดป่าโนนกุดหล่ม ต.เขวา อ.เมือง
จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
วัดป่ากตัญญุตาราม อ.พนพไพร
จ.ร้อยเอ็ด

น้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย เพื่อประโยชน์เพื่อความเจริญ
รุ่งเรีองแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป

จัดอาหารเลี้ยงนักเรียน
เนื่องในงานวันเด็กโรงเรียนโจดนาห่อมเดื่อ อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

ขออนุโมทนาบุญกับทุกบาททุกสตางค์

สาธุ สาธุ สาธุ

ในอิสสัตถสูตร สัง. สคาถ. ข้อ ๔๐๕

พระเจ้าปเสนทิโกศลได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลควรให้ทานในที่ไหน

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า มหาบพิตร ควรให้ทานในที่ที่จิตเลื่อมใส คือจิตเลื่อมใสในที่ใด 

ในบุคคลใด ควรให้ในที่นั้น ในบุคคลนั้น

พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลถามต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทานที่ให้แล้วในที่ไหนจึงมีผลมากพระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ทานที่ให้แล้วแก่ท่านผู้มีศีล มีผลมาก 

ให้ในท่านผู้ไม่มีศีล หามีผลมากไม่

เพราะฉะนั้น ควรให้ทานในที่ใด จึงเป็นอย่างหนึ่ง ที่นั้นมีผลมากหรือไม่ เป็นอีกอย่างหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ หากบุคคลที่ท่านเลื่อมใสเป็นผู้มีศีล ทานของท่านย่อมมีผลมาก ยิ่งผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละกิเลสทั้งปวงได้แล้ว เป็นพระอรหันตขีณาสพแล้ว ทานของท่านที่ถวายในท่านผู้มีศีลนั้น ด้วยจิตผ่องใสยิ่งมีผลมาก

ถึงแม้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงว่า ควรให้ทานในผู้ที่ท่านเลื่อมใส และมีศีลก็จริง แต่พระองค์ก็มิได้ทรงสอนให้ละเลยบุคคลที่ท่านมิได้เลื่อมใส ตลอดจนสัตว์เดรัจฉาน ยาจก วณิพก เป็นต้นเสีย เพราะเห็นว่าได้ผลน้อย 

ทั้งนี้เพราะขึ้นชื่อว่าบุญแล้วแม้เล็กน้อย
ก็ไม่ควรประมาท ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่สนใจ ด้วยว่าน้ำที่หยดลงในตุ่มทีละหยด ก็ยังเต็มตุ่มได้ ฉันใด บุญที่ว่าเล็กน้อยนั้น
เมื่อสะสมไว้บ่อยๆ เนืองๆ ก็เป็นบุญมากได้ฉันนั้น

พระพุทธองค์ตรัสว่า การสาดน้ำล้างภาชนะลงไปในบ่อน้ำครำ ด้วยเจตนาที่จะให้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่เหล่านั้นได้รับความสุข ก็ยังมีอานิสงส์ไม่น้อย จะป่วยกล่าวไปไยกับการให้ทาน

ในผู้มีศีล หรือในบุคคลหมู่มากที่ประพฤติปฏิบัติตรง ทั้งโดยเจาะจงและไม่เจาะจง

 ในทักขิณาวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกอานิสงส์

ของทานที่ให้โดยเจาะจงและไม่เจาะจงไว้ตามลำดับขั้น ถึง ๒๑ ประเภท คือ
๑. ให้ทานแก่ดิรัจฉาน มีอานิสงส์ร้อยชาติ คือ ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ ถึง ๑๐๐ ชาติ
๒. ให้ทานแก่ปุถุชนทุศีล มีอานิสงส์พันชาติ
๓. ให้ทานแก่ปุถุชนผู้มีศีล มีอานิสงส์แสนชาติ
๔. ให้ทานแก่ปุถุชนผู้ปราศจากความยินดีในกาม นอกพุทธศาสนา อย่างพวกนักบวชหรือฤาษี

ที่ได้ฌานเป็นต้น แม้ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ยังมีอานิสงส์ถึงแสนโกฏิชาติ

หว่านพืชเช่นไร..ย่อมได้ผลเช่นนั้น
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันจันทร์ที่14กุมภาพันธ์2565

วันจันทร์ที่14กุมภาพันธ์2565

เป็นผู้แทนลูกหลาน
ทอดผ้าป่าบังสกุลอุทิศให้อาม่าลั้ง โล่วรรธนะมาศ
คุณพ่อจิตติ คุณแม่พิศพร จรรยาเลิศอดุล

ถวายน้ำดื่ม4,800ขวดสำนักวิโรจนาราม งูเตาอูกัมมัฏฐาน
อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

ถวายน้ำดื่ม4,800ขวดแก่โครงการจัดตั้ง
โรงเรียนสามเณรสีหะศากยะบุตร อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

ถวายน้ำดื่ม4,800ขวดแก่พระสงฆ์สามเณรวัดเกาะสุวรรณาราม เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.อุทยานธรรมดงยาง ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่
เข้าฝึกอบรมท่องจำพระปาติโมกข์
ณ.วัดนาแก ต.นาแก
อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม
ณ.วัดดงก้าวกัลยาราม ต.คลีกลิ้ง
อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา ผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมประจำปี2565
ณ.วัดโนนกุดหล่ม ต.เขวา อ.เมือง
จ.ศรีสะเกษ

เป็นผู้แทนเจ้าภาพ
ถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณร
วัดป่ากตัญญุตาราม อ.พนพไพร
จ.ร้อยเอ็ด

น้อมถวายเป็นพุทธบูชาแด่คุณพระศรีรัตนตรัย เพื่อประโยชน์เพื่อความเจริญ
รุ่งเรีองแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป

ขออนุโมทนาบุญกับทุกบาททุกสตางค์

สาธุ สาธุ สาธุ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน คาถาธรรมบท ว่า

                        “สีลทสฺสนสมฺปนฺนํ      ธมฺมฏฺฐํ สจฺจวาทินํ
                         อตฺตโน กมฺมกุพฺพานํ   ตํ ชโน กุรุเต ปิยํ

 ชนย่อมกระทำบุคคล ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและทัสสนะ ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้พูดคำจริงเป็นปกติ ผู้ทำงานอันเป็นหน้าที่ของตน ให้เป็นที่รัก”

วันหนึ่ง พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป และพระอสีติมหาเถระ เสด็จไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นเด็กประมาณ ๕๐๐ คน ถือขนมออกจากเมืองไปยังสวนแห่งหนึ่ง เพื่อขายในงานมหรสพ เด็กๆ เห็นพระศาสดา จึงถวายบังคมแล้วเดินจากไป มิได้ถวายขนมแด่พระพุทธองค์หรือภิกษุสงฆ์แต่อย่างใด 

พระบรมศาสดาตรัสกับพระภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องการฉันขนมไหม”
“ขนมที่ไหน พระเจ้าข้า” พวกภิกษุทูลถาม

 พระบรมศาสดาตรัสว่า

“เธอทั้งหลายไม่เห็นพวกเด็กที่ถือกระเช้าขนมเดินผ่านไปหรือ”
พวกภิกษุกราบทูลว่า “เห็นพระเจ้าข้า แต่พวกเด็กเหล่านั้นคงไม่ถวายขนมให้ใครๆ หรอก พระเจ้าข้า”

พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย แม้เด็กเหล่านั้นไม่นิมนต์เราหรือพวกเธอให้รับขนมก็ตาม แต่ภิกษุผู้เป็นเจ้าของขนม กำลังเดินตามพวกเธออยู่ด้านหลัง พวกเธอรอฉันขนมก่อนแล้วจึงไป”

 ขณะที่พวกเด็กๆ ยืนหลีกทางให้พระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป เดินผ่านไปนั้น พวกเขาเห็นพระมหากัสสปเถระ กำลังเดินตามมาข้างหลัง เด็กเหล่านั้นเกิดความเคารพในตัวท่านมาก ต่างรีบวางกระเช้าลง กราบพระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์ 

แล้วกราบนิมนต์ท่านรับขนม
พระเถระพูดว่า
“พระศาสดาพาพระภิกษุสงฆ์ประทับนั่งอยู่ที่ใต้โคนไม้ พวกเธอจงนำไปถวายพระศาสดา แล้วแบ่งถวายแด่พระภิกษุสงฆ์เถอะ”

พวกเด็กๆ ต่างรับคำท่าน พากันเดินถือกระเช้าขนมไปพร้อมกับพระเถระ พวกเขาถวายขนมแล้วยืนมองดูอยู่ ณ ที่สมควร
เพื่ออุปัฏฐากรับใช้ หลังจากพระภิกษุสงฆ์ฉันแล้ว จึงพากันกราบลาไปพร้อมๆ กัน

 เมื่อเด็กเหล่านั้นจากไปไม่นาน ภิกษุทั้งหลายต่างโจษจันกันว่า

“พวกเด็กเหล่านี้พากันถวายขนม เพราะเห็นแก่หน้าพระมหากัสสปะ ไม่ต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระมหาเถระทั้งหลายเลย”

พระบรมศาสดาตรัสชี้แจงว่า

“ภิกษุทั้งหลาย มหากัสสปะผู้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ด้วยญาณทัสสนะ ตั้งอยู่ในธรรม พูดคำจริงเป็นปกติ มีการงานอันเป็นหน้าที่ของตนสมบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นที่รักของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้มีบุญทั้งหลายย่อมทำการบูชาเธอด้วยปัจจัยสี่โดยเคารพ”

ศีลเป็นเบื้องต้นของคุณธรรมการทำหน้าที่ภารกิจการงาน ชำระกายวาจาใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว
ไม่ว่าจะย่ำเท้าย่างกรายไป ณ แห่งหนตำบลใด ย่อมไม่เก้อเขิน จะองอาจไม่หวั่นไหวไม่พรั่นพรึงต่ออันตรายทั้งปวง สุขภาพร่างกายย่อมสมบูรณ์แข็งแรง
ผิวพรรณวรรณะก็ผ่องใส เป็นที่รักที่เคารพยิ่งของเหล่ามนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย
ผู้มีคุณธรรมย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาผู้มีศีลมีวัตรบริบูรณ์ย่อมเป็นที่สรรเสริญของบัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลาย


วันแห่งความรัก
–ผู้มีวาสนาต่อกันเท่านั้น–
–จึงผูกพันธ์ต่อกัน——–

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ