มหาโคสิงคสาลสูตร

มหาโคสิงคสาลสูตร
การสนทนาธรรมเรื่องผู้ทำให้ป่างาม

    สมัย หนึ่ง พระเถระสาวก (๕ รูป) คือ ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสป ท่านพระอนุรุทธ ท่านพระเรวตะ และท่านพระอานนท์ ได้ชวนกัน ไปหาท่าน พระสารีบุตร เพื่อฟังธรรม เมื่อถึงแล้วท่านพระสารีบุตร ได้ตั้งหัวข้อถามกับ ทุกคน ดังนี้ว่า

    "ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานน่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่าง ไม้สาละบาน สะพรั่งทั่วต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ป่าโคสิงคสาลวัน  ป่างามด้วยภิกษุมีคุณสมบัติเช่นไร"

ความเห็นพระอานนท์ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ๕ อย่างคือ๑. เป็นพหูสูต ๒. เป็นผู้มีสติ ๓. เป็นผู้มีคติ ๔. เป็นผู้มีความเพียร ๕. เป็นพุทธอุปัฏฐาก)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ เป็นพหูสูต(ศึกษาเล่าเรียนคำสอนมามาก) เป็นผู้ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ (สามารถจำคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ไม่ลืม ไม่สับสน) สดับมากแล้ว ทรงไว้แล้ว สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็น ภิกษุนั้น แสดงธรรมแก่บริษัท ๔ ด้วยบทและพยัญชนะอันราบเรียบ… ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระเรวตะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านอยู่ป่า)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ เป็นผู้มีความหลีกเร้นเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในความหลีกเร้น ประกอบเนืองๆ ซึ่งเจโตสมถะอันเป็นภายใน มีฌานอันไม่ห่างเหินแล้ว ประกอบด้วย วิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระอนุรุทธะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านมีตาทิพย์)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ ย่อมตรวจดูโลกพันหนึ่งด้วย ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุ ของมนุษย์ ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระมหากัสสปะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านธุดงค์)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ กระทำตนเองและกล่าวสรรเสริญคุณการอยู่ในป่าเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือไตรจีวรเป็นวัตร มีความปรารถนา น้อย เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้สงัด ไม่คลุกคลี ปรารถความเพียร ถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อม ด้วยสมาธิ ถึงพร้อมด้วยปัญญา ถึงพร้อมด้วยวิมุติ ถึงพร้อมด้วยวิมุติญาณทัสสนะ และกล่าวสรรเสริญคุณ ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระโมคคัลลานะ (เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านแสดงฤทธิ์)
“ภิกษุ ๒ รูป ในพระศาสนานี้ กล่าวอภิธรรมกถา เธอทั้ง ๒ นั้น ถามกันและกัน ถามปัญหากันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพักด้วย และธรรมกถาของเธอทั้ง ๒ นั้น ย่อมเป็นไปด้วย ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ความเห็นพระสารีบุตร (เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายด้านมีปัญญามาก)
“ภิกษุ ในพระศาสนานี้ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจและไม่เป็นไปตามอำนาจของจิต เธอหวังจะอยู่ด้วยวิหารสมาบัติใดในเวลาเช้า-เที่ยง-เย็น ก็อยู่ด้วยวิหารสมาบัตินั้น ได้ในเวลาเช้า-เที่ยง-เย็น ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล.”

ลำดับนั้น ท่านสารีบุตร ได้กล่าวกะท่านผู้มีอายุเหล่านั้นดังนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย ปฏิภาณตามที่เป็นของตนๆ พวกเราทุกรูปพยากรณ์แล้ว มาไปกันเถิด พวกเราจักเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ 

    ครั้นแล้ว จักกราบทูลเนื้อความนี้ แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรง พยากรณ์ แก่พวกเราอย่างใด พวกเราจัก ทรงจำข้อความนั้นไว้อย่างนั้น. ท่านผู้มี อายุเหล่านั้น รับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว...

   เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า คำของใครหนอเป็นสุภาษิต?

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร คำของพวกเธอทั้งหมด เป็นสุภาษิตโดยปริยาย ก็แต่พวกเธอจงฟังคำ ของเรา คำถามว่า ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเห็น ปานไรนั้น เราตอบว่า

    "ดูกรสารีบุตร ภิกษุในศาสนานี้ กลับจากบิณฑบาตในเวลาหลังภัตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้าว่า จิตของเรายังไม่หมดความ ยึดมั่นถือมั่น ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพียงใด เราจักไม่ทำลายบัลลังก์ (ไม่เลิกปฏิบัติ) นี้เพียงนั้น ดังนี้ ดูกรสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวัน พึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล."

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล.

……………………………………………………..
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

น้อมกราบอนุโมทนาทุกก้าวแห่งการเผยแผ่ธรรม

ข้าพเจ้ามีวาสนาได้เห็นความประเสริฐในการปฏิบัติขัดเกลากิเลส ของพระธุดงค์หมู่ใหญ่ในทิศทั้งสี่

น้อมกราบอาราธนาพระสังฆานุภาพแห่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
อันประเสริฐตลอดชีวิต

น้อมกราบอนุโมทนาทุกก้าวแห่งการเผยแผ่ธรรม

สาธุอนุโมทามิ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้ วันพระขึ้น15ค่ำเดือน8ปีเถาะ

วันนี้ วันพระขึ้น15ค่ำเดือน8ปีเถาะ
……………………………………….

ทาน ศีล ภาวนา เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ปัจจัตตังธรรมทาน หน้าที่ 21..งานงอก..

ปัจจัตตังธรรมทาน หน้าที่ 21
………………………………………….
..งานงอก..

สร้างกำลังใจ..ให้มีในตนด้วยความอดทน
ตาเห็นใจ..คิดก็ผิดแล้ว
คิดอะไร..ก็รับกรรมตามเนื้อผ้า
พูดอะไรออกไป..ก็กลับมาเป็นเรื่องของเรา..ไม่ช้าก็เร็ว

การทำมาหากิน..ที่เจือไปด้วยความไม่รู้
เป็นพนักงานที่ไม่สนใจองค์กร ไม่รับผิดชอบหน้าที่

ทำมั่ง..อู้มั่ง..ถึงเวลารับเงินค่าตอบแทน เหลือมั่ง..ไม่เหลือมั่ง..ส่วนมากเป็นหนี้ที่มีแต่ดอก

งานหนี้..มางอกที่เรา..อีกทั้งความเจ็บป่วยที่ไม่ได้เชื้อเชิญ
เพราะความเห็นแก่ตัว..คือ..การทำร้ายตนเอง

“สัตว์โลก..ย่อมเป็นไปตามกรรม”

ชีวิตของคนเรา..จะเป็นไปอย่างไร
ขึ้นอยู่กับกรรมและการกระทำของตน

หากรับผิดชอบ..เต็มความสามารถ
ก็ไม่ต้องรับผิดชอบหนี้กรรมไม่ว่าทำงานอะไร
ตั้งแต่ข้าราชการถึงกรรมกร รับผลแตกต่างกันไปตามเจตนา

ผลของความดี..ส่งผลเงินเดือนเพิ่มตำแหน่งใหญ่ขึ้น

หาที่พึ่งให้สติ..ด้วยการรักษาศีลห้า
ตั้งสัจจะทำไว้ในใจ เพราะศีลห้าจะควบคุมใจให้ละอายเกรงกลัวต่อบาป

วันเสาร์-วันอาทิตย์ หาเวลาไปรักษาศีลให้ทานปฏิบัติธรรม
ให้ชีวิตมีพลังบวก สร้างกำลังให้มีในตน
สร้างกรรมดีด้วยกายวาจาใจ
ของใครของมัน..ทำเองรู้เอง

…สติ..เป็นเครื่องตื่นในโลก…

สาธุปัจจัตตังธรรมทาน
……………………………………………………..
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ปัจจัตตังธรรมทาน หน้าที่20 …อวิชชา 2….

ปัจจัตตังธรรมทาน หน้าที่20
……………………………….
…อวิชชา 2….

ความโกรธ ความโลภ ความหลง ชื่อว่ากิเลส
มีผลของกรรมที่ต้องรับผิดชอบ

ผู้ที่ถูกกระทำเกิดมาเพื่อเป็นเจ้ากรรมนายเวรเป็นลูก เป็นญาติ
เป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นผัวเป็นเมีย มีอำนาจเบล็ดเสร็จที่คอยทวงคืน
ทวงคืนทุกอารมณ์ หากมีสติที่เป็นธรรมไม่โต้ตอบ การชดใช้ก็จบไม่ยาก

ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรจะแสดงธรรม
เป็นตัวตนของเราทุกท่าทาง

ทุกข์ที่เกิดขึ้นด้วยความไม่รู้ทำให้ผูกเวร
ซ้ำๆไม่สามารถหลุดออกจากเจ้ากรรมนายเวรได้ดังภาษิตว่า

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

ต้องฝึกให้มีสติเพราะชีวิตถูกรายล้อมด้วยบาปที่ทำไว้ทั้งของเก่าและของใหม่

การสร้างกุศลให้ถึงพร้อมด้วยกายวาจาใจ
จึงจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน

สาธุ.ปัจจัตตังธรรมทาน

แม่ชีทศพร วชิรบำเพ็ญ

ปัตจัตตังธรรมทาน หน้าที่19 อวิชชา

ปัตจัตตังธรรมทาน หน้าที่19
อวิชชา

แม่จ๋า..สามีหนูไปมีผู้หญิงอีกแล้ว
วันนี้หนูจะถามเขาให้รู้เรื่อง
หนูทนมากว่าสามสิบปี ครั้งนี้หนูจะไม่ทน

ลูกรัก
หนูจะพูดเพื่ออะไรก็แล้วแต่ มันจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก

ทะเลาะกันแล้วได้อะไร

ที่หนูเดือดดาลแบบนี้เขาเรียกว่า
ความยึดมั่นถือมั่น ตัวกูของกู
อัตตามันครอบงำให้หนูขาดสติ
หนูไม่มีทางชนะเขาได้ บางครั้งการไม่พูดมีค่าที่สุด

ความทุกข์ที่ถาโถม ทำให้ความโกรธทำงานอย่างเผ็ดร้อน เพื่อเรียกร้องสิทธิ์
ในการเป็นภรรยา น้อยเนื้อต่ำใจหาความสงบไม่ได้ ไหนจะงาน ไหนจะคำนินทา

ของฟรีไม่มีในโลก ทุกเรื่องมีเหตุ มีผล
แต่ปางก่อนหนูก็เคย เป็นแบบเขานี้แหล่ะ
ไม่มากกว่า ไม่น้อยกว่าเขา
เขาก็ช้ำใจแบบนี้เหมือนกัน

..หนูกำลังไม่พอใจ ในสิ่งที่หนูเคยทำ..

ตามหลักธรรมเรียกว่า อวิชชา คือความไม่รู้ เมื่อไม่รู้โกรธโลภหลง ก็ไหลเข้าไปในขันธ์ห้า

รูป..เป็นพฤติกรรม ดำริพยาบาท
เวทนา..เป็นความทุกข์ พอใจ..ไม่พอใจ
สัญญา..เป็นการจำผลที่ได้รับ
สังขาร..เป็นความรู้สึกนึกคิด
วิญญาณ..เป็นจิต ที่รับรู้ สิ่งที่เข้ามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

หนูต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ให้อภัยใจตนเอง
เพื่อให้สติ มีกำลัง

เมื่อสติมีกำลัง ปัญญาจะทำให้เห็นตามความเป็นจริงของสังขาร

สิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้เป็นทุกข์..ไม่เที่ยง
ไม่ใช่ตัวตน..ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมของใคร

หนูกำลังเสวยผลของกรรม..ที่เคยทำไว้
หนูต้องอดทนพิจารณา

ชีวิตเป็นของเขา เขาจะมีใคร เป็นอย่างไรไม่เกี่ยวกับเรา

มันยากที่จะคิดแบบนี้ ยากตรงที่เข้าไปยึดว่าเป็นของเรา..ไอ้ความยึดมั่นนี่แหละ

บุญก็ทำ..กรรมก็สร้าง
ทุกข์ก็ลอยนวล..ไม่ดับซักเวลา
ไฟสามเฟส..ของกิเลสดึงอารมณ์
ทำให้สติอ่อนกำลัง..จำแต่เรื่องที่ถูกกระทำ

สามสิบกว่าปี มีความขัดแย้งด้วยความยึดมั่นถือมั่น ก่อกรรมก่อเวรใหม่เพิ่มอีกไม่จบ

ตายไปเกิดใหม่ ก็เจอกันอีกเรื่องเดิม ซีรีส์ปฏิจสมุปบาท สาเหตุแห่งการเวียนว่าย 12 สาเหตุ

  1. อวิชชา
  2. สังขาร
  3. วิญญาณ
  4. นามรูป
  5. สฬายตนะ
  6. ผัสสะ
  7. เวทนา
  8. ตัณหา
    9.อุปาทาน
  9. ภพ
  10. ชาติ
  11. ชรา มรณะ

หากเกิดมาเขาให้เราจำได้ทุกอย่าง
นี่ของเรา นี่ลูกเรา นี่เมียเรา นี่ผัวเรา
นี่สมบัติของเราทำไงกันดี

ชีวิต..คือ ผลของการสะท้อนกลับ
อยู่ดีมีความสุข..เพราะเราทำไว้
อยู่ร้อนนอนทุกข์ ..เราก็เป็นคนทำ

..กรรมไม่ส่งผิดตัว..

เกิดมาเพื่อเรียนรู้
ที่จะมีชีวิตอย่างประเสริฐ
อดทน..อดกลั้นกับสิ่งที่เข้ามากระทบ
ให้อภัยตนเอง วางจิตอุเบกขา

อีกไม่นานต้องพลัดพรากจากกัน
มีหน้าที่อะไร..ก็ทำให้ดีที่สุด
สัตว์ทั้งหลาย..มีกรรมเป็นของตน

โกรธคนอื่น..เท่ากับโกรธตนเอง

ปัจจุบันนี้..ผู้ที่ร้องทุกข์กำลังเจริญวิปัสสนากรรมฐาน..ตื่นรู้ในพระธรรม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วิปัสสนากรรมฐาน..ตามแนวสติปัฏฐานสี่เป็นวิชาเดียวในโลกที่สามารถถอดถอนความทุกข์จากวัฏสงสารได้

ให้ธรรมเป็นทาน..ชนะการให้ทั้งปวง

สาธุปัตจัตตังธรรมทาน
…………………………………………………………..
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ปัตจัตตัง ธรรมทาน หน้าที่18 ..ปวดขา..

ปัตจัตตัง ธรรมทาน หน้าที่18
………………………………………………
..ปวดขา..

ลูกศิษย์ปวดขาขณะนั่งกรรมฐาน
กำหนดปวดหนอตามสภาวะแต่ไม่หาย
ขอคำปรึกษาว่าจะไปต่ออย่างไร

ตอบไปว่า..
วิปัสสนากรรมฐานคือการงานของกายกับจิต
ใช้สติพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม
เมี่อกายเวทนาใช้สติพิจารณากาย
กำหนดตรงตัวว่าทุกข์หนอ ทุกข์หนอ

จิตที่ซัดส่าย ฟุ้งซ่าน อาฆาต จองเวร
หรือหดหู เศร้าหมอง ก็เรียกว่า เวทนา
กำหนดตรงตัว เช่นเดียวกันว่า ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ

“หนูต้องใช้สติ พิจารณา ว่า เวทนาที่ปรากฎนี้ มันเป็นทุกข์ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ยกเวทนาขึ้นมา เป็นสภาวะธรรม
แล้วกำหนดว่า ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ไม่เกินห้าครั้ง หนูจะรู้ถึงสาเหตุที่ทุกข์ว่าเกิดจากอะไร”

ลูกศิษย์ตอบว่า ปวดมาหลายปีแล้ว
ทุกครั้งที่นั่ง มันปวดแบบนั่งต่อไม่ได้
เห็นเวทนาทุกครั้ง แต่ไม่เคยกำหนดทุกข์ กำหนดแต่ปวด

“ไม่เป็นไร กำหนดใหม่ เปลี่ยนจากปวด เป็นทุกข์หนอ
ใช้สติ เข้าไปกำหนดสิ่งที่เกิดขึ้นทางกายและใจ เพื่อให้เกิดปัญญา แยกจิต ดูเวทนาให้ชัด ว่ากายทุกข์ ตามความเป็นจริง สติมาปัญญาก็จะเกิด”

“คุณแม่คะ คุณแม่คะ หนูหายปวดขาแล้วค่ะ หนูกำหนดทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ก็เห็นขึ้นที่ใจว่า หนูเคยตีหมาขาหัก ถ้าหนูรู้แบบนี้คงหายปวดขานานแล้ว”

“ผลของกรรมยุติธรรมเสมอ ทุกข์เป็นสภาวะธรรม
ปัญญารู้แจ้งในเหตุ ทุกข์จึงดับ
หากหนูไม่นั่งวิปัสสนากรรมฐาน การชดใช้ก็ไม่เกิดผล
อาจต้องขาหักเหมือนหมาด้วยสาเหตุอะไรก็ได้ “

วิชาของพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้เฉพาะตัว
เฉพาะตน ทุกการกระทำมีผลตอบแทนเสมอ
ทั้งกรรมดี และกรรมดำ

ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

ใช้สติ..พิจารณาธรรม..ทุกอริยบท
ลืมตา..ก็อาราธนาธรรม..เป็นเครื่องอยู่
มีศรัทธา..ในพระรัตนตรัย..รักษาศีล..ให้ทาน..เจริญภาวนา

ชีวิตมีครั้งเดียว..ไม่มีชีวิตสำรอง
อะไรที่เป็นทาน..อะไรที่เป็นธรรม
เก็บเกี่ยวแบ่งปันตามฐานะแห่งธรรม

—ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์—-

ใกล้เข้าพรรษา..หาเวลาไปปฏิบัติธรรม
รักษาศีล..ให้หมดจด
เจริญสติปัฏฐานสี่
ปลูกศีล..ได้ศีล
ปลูกทาน..ได้ทาน
ปลูกภาวนา..ได้ปัญญา

พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ผู้ใดเห็นทุกข์..ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม..ผู้นั้นเห็นเราตถาคต

สาธุ ปัตจัตตังธรรมทาน
………………………………………………………
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

วันนี้ วันพระขึ้น 8 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ

วันนี้ วันพระขึ้น 8 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ
……………………………………………….
สิ่งใดไม่เที่ยง..สิ่งนั้นเป็นทุกข์

แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ปัตจัตตัง หน้าที่ 17 ..คนใกล้ตาย..

ปัตจัตตัง หน้าที่ 17
……………………………………………………..
..คนใกล้ตาย..

นั่งสมาธิ..หลับตา
ระลึกถึงบุญกุศล
ที่เคยทอดกฐินพระราชทาน
สร้างโบสถ
สร้างศาลาสร้างกุฏิ
ถวายที่ดินสร้างวัด
สร้างเจดีย์
สร้างลานพระปราง
สร้างพระพุทธรูป
สร้างหอฉันท์
ซ่อมแซมบูรณะกุฏิ
สร้างหลังคาพระอุโบสถ
สร้างถนน
สร้างห้องน้ำ
ถวายค่าน้ำค่าไฟชำระหนี้สงฆ์
ถวายข้าวสารอาหารแห้ง
ถวายบาตร ถวายย่าม ถวายผ้าไตรจีวร
ถวายรองเท้า ถวายยารักษาพยาบาล
ถวายเครื่องขยายเสียง
ถวายทุนการศึกษาพระนิสิต
ถวายยานพาหนะ ถวายต้นไม้
ถวายภัตตาหาร ถวายโรงครัว
ถวายหม้อหุงข้าว ถวายเครื่องครัว
ถวายเทียน ถวายหลอดไฟ
ถวายชีวิตเป็นบริวารกฐิน
ถวายธรรมทานด้วยการเทศน์
แจกหนังสือสวดมนต์ประมาณล้านกว่าเล่ม

ขออาราธนาเทวานุภาพแห่งเทวดาทั้งจักรวาล จงมีส่วนในมหากุศลทั้งหมดทั้งมวล

ขออำนาจแห่งเทวดาที่ปกปักรักษาทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นทรัพย์สมบัติของข้าพเจ้าจงเกื้อกูลให้ข้าพเจ้ามีทรัพย์ ที่ใช้หนี้ได้ตามกฏหมายไม่ขาดสาย เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทำนุบำรุงดูแลบิดามารดา และช่วยเหลือสังคม

วันนี้ข้าพเจ้าถวายมหาสังฆทานแก่พระสงฆ์สามเณรหมู่ใหญ่ในทิศทั้งสี่ ตลอดถึง
การรักษาศีล ให้ทาน เจริญภาวนา ข้าพเจ้าน้อมกราบถวายเป็นพุทธบูชา
แด่คุณพระศรีรัตนตรัย หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตขอให้ข้าพเจ้ามีสุคติถึงพระนิพพาน

กำลังของกุศลเป็นอาหารของจิต
กำลังของชีวิตมีอาหารเป็นเครื่องอยู่ของกาย

ไม่ต้องรอ..ให้ใกล้ตาย..แล้วนึกถึงบุญ
ระลึกถึงบุญกุศล..เป็นอารมณ์ทุกเวลา

สมบัติของใจ..แบ่งปันได้ไม่หมดสิ้น
ทำตามแม่ได้นะ..ไม่สงวนลิขสิทธิ์
ไม่ต้องรอ..ให้ป่วย
ไม่ต้องรอ..ให้ใกล้ตาย
ทำบุญได้ทุกวัน..เพราะบุญชื่อว่าความสุข

สร้างคอนเท็นต์..ให้จิต..ข้อสอบซ้อมตายทุกวัน

ถ้าไม่เคยถวายอะไร..ก็อนุโมทนากับแม่ได้นะ
อ่านแล้วน้อมอนุโมทนาได้ทุกตัวอักษร

สาธุปัตจัตตังธรรมทาน
……………………………………………………..
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ปัตจัตตัง หน้าที่16

ปัตจัตตัง หน้าที่16
ไม่ใช่ทอง

ข้อสอบของผู้ให้ คือ ไม่มีจะให้
แก๊สหมด น้ำหมด ข้าวสารหมด เงินหมดทำไงดี??

มองหาของมีค่ารอบห้อง
เห็นแต่เจ้าแม่กวนอิมทองคำ มีทองก้อนอีกห้าหกก้อน โยมมามุทิตาวันเกิด
พนมมือขอเชิญท่านไปร้านทองก่อนเพื่อ
เปลี่ยนเป็นเงินสดมาซื้อของ

เรียกคนสนิทให้รีบห่อเอาไปร้านทอง

..เวลาผ่านไป..
เจ้าแม่กวนอิมกลับมาที่ห้องอีกครั้ง
นึกในใจว่า..อ้าวท่านกลับมาทำไม

เสียงคนสนิทพูดว่า..
แม่จ๋าทั้งหมดนี่ ไม่ใช่ทองคำ เขาทำเลียนแบบ เจ้าของร้านทองบอกว่า
“ลื้ออย่าเอาไปขายที่อื่นนะ ตำรวจจับลื้อแน่ๆ”

ตอบคนสนิทไปว่า “แม่ขอโทษนะ”
คนสนิทตอบว่า “ไม่เป็นไรแม่ พอดีร้านทองหนูรู้จักกัน 5555555”

มีชื่อลูกศิษย์ในโทรศัพท์ประมาณสี่ร้อยกว่าชื่อ เลื่อนขึ้น เลื่อนลงชั่งใจอยู่นาน

ตัดใจวางโทรศัพท์
นั่งหลับตาพิจารณา

จิตดิ้นรนเพื่ออะไร..เพื่อใคร?
สอบสวนตน..สอบสวนตน

หากโทรไปหาสักสิบคน คงได้เงินจำนวนไม่น้อย

กลับมาสอบสวนใจตนอีกครั้ง
เป็นแม่ชีก็ดีอยู่แล้ว อย่ากลายเป็นคอลเซ็นเตอร์นะมึงงงง

ความจริงการให้..คือ..การปฏิบัติธรรมแบบลืมตา
เพื่อสละ ละวาง ความอยากมี อยากเป็น
ละอัตตาดัวตนอย่างเข้มข้น

ขณะที่กำลังให้ แสวงหาอะไรหรึอเปล่า

รออ่านตอนต่อไปนะคะ
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ

ปัตจัตตัง ธรรมทาน -: หน้าที่ 13 :- ..ชีวิตเดียว..

ปัตจัตตัง ธรรมทาน -: หน้าที่ 13 :-

..ชีวิตเดียว..

ดำเนินชีวิต..ด้วยความโลภ..โกรธ..หลง

ไม่มีสติปัญญา..ทำให้ชีวิตไร้อิสระภาพ

ชีวิต..มีแต่ความทุกข์..ดิ้นรน

ไม่เคยค้าขายสุจริต..มีโอกาสต้องโกง

เรือ..ที่ประกอบอาชีพ..เริ่มประสบภัยของกรรม..ชนตอใต้น้ำ..จมดิ่ง..สองวันต่อมาพายุซัด

เรือพังพินาศ..เงินทองที่เก็บไว้..น้ำทะเลพัดหายสิ้น..หมดทุน..หมดกำไร..ทุกข์กาย..ทุกข์ใจ..ขั้นเป็นบ้า

..เริ่มต้นใหม่..ค้าขายเหมือนเดิม..

..ค้าขายโกงเขามา..

เริ่มโกงเที่ยวละห้าพัน..บางทีก็บวกเกินเป็นหมื่น..เก็บเงินได้เยอะมาก

โกงไว้ร้อยเที่ยว..ถูกโกงหนึ่งร้อยลำเรือ

..สวดมนต์ทุกวัน..แต่ไม่เคยรักษาศีล..แม้แต่ข้อเดียว..

..รู้จักความสุข..แต่ไม่เคยเสวยสุข..

..เสวยแต่ความทุกข์..

..มีแต่ความกลัดกลุ้ม..หาทางออกไม่เจอ..

..ความโลภ..โกรธ..หลง..

..ทำให้มีชีวิตแบบคนขาดสติ..

..สร้างกรรมชั่ว..ผิดศีล..ผิดธรรม..

..ไม่ละอาย..ไม่เกรงกลัวต่อบาป..

..ยิ้มหัวเราะทั้งวัน..ในใจมีแต่ความอิจฉา..

..ด้วยความโกรธ..โลภ..หลง..

..ใช้ชีวิตด้วยความประมาท..

..มีกระบวนการของกรรม..คอยส่งผล..

..ทุกข์กาย..ทุกข์ใจ..ไม่รู้จักบาป..ไม่รู้จักบุญ..

..มีความจองเวร..อาฆาตเบียดเบียน..ตนเองและผู้อื่น..

..พูดโกหกหลอกลวง..ส่อเสียดนินทา..

..พูดเอาดีเข้าตัว..พูดชั่วไม่มีมงคล..

..ไปที่ไหนก็แตก..สังคมรังเกียจ..ทำร้ายตนเองโดยไม่รู้ตัว..

..หาเลี้ยงชีพด้วยความทุจริต..

..ความเจริญไม่มี..กลายเป็นหนี้กรรม..

..ไม่สนใจสุขภาพ..กินทุกอย่างที่อยากกิน..

..ในที่สุด..โรคภัยไข้เจ็บตามมาเบียดเบียนกาย..

..เป็นโรคกรรมร้ายแรง..รักษาไม่หาย..

..อยู่ร้อนนอนทุกข์..ถอดถอนใจทั้งวัน..

..ตายทั้งเป็น..แบบมืดสนิท..มาครึ่งชีวิต..

..คร่ำครวญเรื่องทุกข์ใจให้แม่ฟัง..

แม่พูดว่า “ซื่อกินไม่หมด..คตกินไม่นาน”

“แม่ทำบุญใส่บาตร แม่ทำบุญตรวจน้ำ จุดธูปบอกแม่พระธรณีทุกวัน ให้บุญรักษา ให้คุณพระ..เมตตาลูกทุกคน”

คิดในใจว่า จะเริ่มคิดดี..พูดดี..ทำดี..ตอนไหน

ทางโลกใช้ชีวิตสุดโต่ง..สุงสุด..ต่ำสุด

อยู่กับใครก็มืด..คิดคบแต่เรื่องทำชั่ว

..ในเส้นทางธรรม..

ความไม่แน่นอน..เกิดขึ้นตลอดเวลา

ยอมรับในความไม่เที่ยง..ไม่แน่นอน

..ทุกขัง..อนิจจัง..อนัตตา..

..ทำให้มีดวงตาเห็นธรรม..

..ปล่อยวางอารมณ์โลภ..โกรธ..หลง..

..ไม่มีตัว..ไม่มีตน..ที่สุดแล้วไม่มีอะไรเลย..

แสวงหาช่องทาง..เพื่อเรียนรู้ศึกษาธรรม

สำเร็จนักธรรมศึกษาเอกในเวลาสามปี

เป็นวิทยากรบรรยายธรรม..สอนธรรม

ด้วยหลักของศีลห้า..และหลักกรรม

..ทบทวนศึกษาสมถะกรรมฐาน..

..เรียนรู้วิปัสสนากรรมฐาน..

..ตามแนวสติปัฏฐานสี่..

..สร้างระเบียบให้มีในตน..

..สร้างกุศลให้เกิดมีในใจ..

..บุญ..ที่ทำโดยไม่คิดถึงผลตอบแทน..

..ส่งผลให้มีโอกาสได้รับใช้ใกล้ชิด..

..หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์..

..อดีตเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร..

แสวงหาโอกาสสร้างบุญ..ในพระพุทธศาสนา..ด้วยศรัทธาตั้งมั่น..ไม่หวั่นไหว

ดูกาย..ดูใจ..ทุกอารมณ์

..เก่งมาก..เรื่องกระทบใจ..ก็มาก..

..ร้องไห้บ้าง..เหนื่อยบ้าง..แต่ไม่เลิกล้ม..

..เลือกเดิน..เส้นทางสายเอก..

..อุปสรรค..ย่อมทดสอบกาย..ใจเป็นเรื่องธรรมดา..

..คิดถึง..สิ่งที่ทำ..

..มีความพอใจในฐานะแห่งตน..

..เป็นกำลังใจ..ที่มนุษย์เช่นเราควรพอใจในสิ่งที่ตนกระทำ..

..พากเพียร..ในการกระทำอย่างต่อเนื่อง..

..ไม่ขาดตอน..เป็นระยะยาว..จนประสบความสำเร็จ..ด้วยความกล้าหาญ..

..มีสมาธิไม่ทอดทิ้ง..รับผิดชอบสิ่งที่ทำ..

..ตามความรู้สึกในใจตน..

..ทำวัตถุประสงค์นั้น..ให้เด่นชัดปรากฏ..

..ใช้ปัญญา..สอดส่องเหตุและผล..

..แห่งความสำเร็จ..เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา..

..ยิ่งให้..ยิ่งได้..

..ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ..จริงใจ..

..ไม่มีอะไรแอบแฝง..สิ่งที่ได้กลับมา..

..ไม่มีคำบรรยาย..

–ชีวิตเดียว–

..ชีวิตเลือกได้..คิดได้..ชีวิตเปลี่ยน..

..ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในพระพุทธบริษัท..

..แม้เหลือเวลาเพียงราตรีเดียว..

..ไม่เคยเสียดาย..เวลาที่ผ่านมา..

..พระรัตนตรัย..ทำให้ชีวิตมีคุณค่า..

..ปักหมุดที่นิพพาน..

น้อมถวายทุกตัวอักษร..ถ้อยทุกธรรม..บูชาคุญบิดามารดาที่ให้ชีวิต

..น้อมถวายปัตจัตตัง..ธรรมทาน..

..เป็นพุทธบูชาแด่..คุณพระพุทธ..คุณพระธรรม.:คุณพระสงฆ์..

..สาธุ..ปัตจัตตัง..ธรรมทาน..

..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..