ในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ

ยังมีภิกษุอีกพวกหนึ่ง เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวันโดยทางเรือ ในขณะที่เรือแล่นมาในระหว่างทาง เรือเกิดหยุดเสียกลางทะเลเฉยๆ

แม้นายเรือและลูกเรือต่างพยายามแก้ไขอย่างไรก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน มนุษย์ผู้เชื่อโชคลางต่างวิจารณ์กันว่า

“การที่เรือไม่แล่นนี้เป็นเพราะมีคนกาลกิณีอยู่ในเรือ หากกำจัดคนนี้ออกเล้ว เรือก็จะแล่นไปได้”

จึงปรึกษากันว่า

“จะหาทางรู้ผู้เป็นกาลกิณีได้โดยวิธีใด”

จึงตกลงให้มีการจับฉลากกันขึ้น หากฉลากตกกับผู้ใด ก็แสดงว่าผู้นั้นเป็นกาลกิณี ให้โยนถ่วงทะเลเสีย จึงตกลงจับสลากกันทุกคน

ผลปรากฎว่าสลากกาลกิณี ได้แก่เมียสาวของกัปตันเรือเอง จึงปรึกษากันว่า

“การจับสลากเพียงครั้งเดียวอาจไม่ยุติธรรม ควรจับถึง 3 ครั้งจึงให้จับฉลากใหม่ ฉลากก็ตกไปกับเมียสาวนายเรืออีกทั้ง 3 ครั้ง ชาวเรือและผู้โดยสารจึปรึกษากัปตันว่า

“ท่านกัปตันท่านจะให้พวกเราทำอย่างไร”
กัปตันจึงกล่าวว่า

“ถ้าจะรักษาชีวิตเมียข้าพเจ้าไว้ พวกท่านทั้งหลายก็จะพากันตายหมด พร้อมทั้งเมียและข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าไม่เห็นแก่ตัวพอจะทำเช่นนั้นได้ จงจัดการจับนางโยนลงทะเลตามที่ตกลงกัน”

ชาวเรือจึงพากันจับนางเพื่อโยนทะเล นางจึงร้องขอชีวิตด้วยความกลัว นายเรือได้ยินเสียงร้องจึงให้หยุด แล้วกล่าวว่า ถ้าจะโยนนางทั้งเครื่องอาภรณ์เหล่านี้

ของมีค่าก็จะสูญเสียเปล่า จงเปลื้องเครื่องประดับเสียให้หมด ให้นุ่งผ้าเก่าแล้วโยนลงไป แต่เราไม่อยากเห็นนางตกทะเล แล้วร้องขอความช่วยเหลือ

พวกท่านจงเอาหม้อบรรจุทรายให้เต็ม แล้วผูกคอนางไว้ จะได้ถ่วงให้เร็วขึ้น สั่งแล้วเดินหลบไปเสีย

ฝ่ายชาวเรือจึงจับนางถ่วงติดกับหมอทรายโยนลงทะเล นางจมหายไปในน้ำทันที

ภิกษุที่อาศัยเรือมาเห็นดังนั้น จึงคิดว่า 

“เราจะต้องเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อทูลถามถึงปุพพกรรมของนางให้จงได้”

เมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ จึงทูลถามถึงปุพพกรรม พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภรรยานายเรือในอดีตชาติเกิดเป็นภรรยาคหบดีผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ได้ทำงานบ้านด้วยตัวเองจนหมดทุกอย่าง ตั้งแต่ตักน้ำ ตำข้าว ตลอดจนตัดฟืนในป่า 

นางมีสุนัขเลี้ยงตัวหนึ่ง สุนัขนี้ติดตามนางไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเข้าป่าตัดฟืน ไปท่าตักน้ำหรือออกไปนอกบ้าน

เพื่อนำข้าวไปให้สามีที่ปลายนาก็ตาม พวกหนุ่ม ๆ ทั้งหลาย เมื่อเห็นนางไปกับสุนัขจึงพากันล้อเลียนว่า

“เฮ้ยพวกเรา ดู พรานสุนัขซิ ออกมาอีกแล้ว วันนี้เราคงได้กินเนื้อบ้างเป็นแน่””

นางถูกล้อดังนั้น จึงเกิดความอาย ไม่อยากให้สุนัขตามตัวไป บางคราวใช้ก้อนหินกว้างปา

แต่สุนัขก็ไม่ยอมลดละการติดตาม นานหนักเข้านางโกรธเจ้าสุนัขนั้น มาคิดว่าต้องหาทางฆ่าเจ้าสุนัขนี้ให้จงได้

วันหนึ่ง ขณะจะออกไปส่งข้าวสามีที่ปลายนา นางใส่ข้าวเต็มหม้อ แล้วแอบซ่อนเชือกไปในตัวด้วย เมื่อสุนัขตามไปจนถึงปลายนาแล้ว 

จึงแกล้งพาสุนัขเดินมาทางชายน้ำเอาทรายบรรจุใส่หม้อข้าวจนเต็ม เหลียวซ้ายขวาไม่เห็นใคร จึงเรียกสุนัขเข้ามาใกล้ สุนัขนึกในใจว่า

นายสาวของเราเคยทารุณเอาก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง ขว้างปาเราเสมอ วันนี้ดูใจดีเรียกเราเข้าไปหา ด้วยความดีใจจึงกระดิกหาง เดินเข้าไปหมอบแทบเท้าของนาง

นางจึงจับคอสุนัขไว้แน่น แล้วผูกด้วยปลายเชือกข้างหนึ่ง เอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกกับปากหม้อทรายแล้วโยนลงไปในน้ำ สุนัขถูกหม้อทรายดึงจมลงไปในน้ำตายที่นั้นเอง

ด้วยบาปกรรมที่นางจับสุนัขถ่วงน้ำทั้งเป็น จึงไปเกิดเสวยกรรมอยู่ชั่วกาลนาน เศษกรรมที่ยังใช้ไม่หมดทำนางมาเกิดเป็นภรรยากัปตันเรือ 

และถูกจับถ่วงทะเลเช่นเดียวกัน นางชื่อว่าตายเพราะผลกรรมที่นางทำไว้โดยแท้
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสเล่าปุพพกรรมจบลง ภิกษุทั้งหลายต่างพากันปลงธรรมสังเวชโดยทั่วกัน
……………………………………………………………………………

ในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ