อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 34—-ผลกรรม—-

—-ผลกรรม—-

อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 34

การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน..มีครั้งหนึ่งมีประชาชนชาวลาวมาปฎิบัติธรรม 10 วัน..ตั้งแต่เริ่มปฎิบัติมีอาการปวดสะโพกข้างขวาเป็นอย่างมาก..

ธรรมดาก็ปวดเป็นประจำอยู่แล้ว..แต่มีความเชื่อว่าน่าจะมีกรรมเก่าจึงทำให้ปวดมาก..เคยทำการรักษาหมอหาสาเหตุไม่พบ

แม่ชีถามว่า..คุณเคยตีหมาตาย 2 ตัวในวันเดียวกันมั้ย..

..คนลาวตาเบิกโพลง..แล้วร้องไห้เสียงดัง..พยักหน้าว่าเคยตี..

แม่ชีถามว่า..”ตีหมาเพราะอะไร..มันกัดคุณหรือเปล่า”

คนลาวร้องไห้หนักมากบอกว่า..”ตัวเองเพิ่งโตจำได้ว่าตีตายแต่จำไม่ได้ว่าตีเพราะอะไร”

แม่ชีให้ลุกขึ้นเดิน..คนลาวเดินตัวตรงร้องไห้ว่า “ไม่ปวดเลยหาย..ตัวเองปวดตั้งแต่อายุ 20 ปวดทุกวัน..ตอนนี้อายุ 65 ทรมานมาก..ดีใจที่ปฎิบัติธรรมแล้วหายจากเวรกรรม”

การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เป็นหนทางเดียวที่ดับทุกข์ได้..เป็นเส้นทางที่ตัดรากของกรรมได้..

ทุกอย่างไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน..บังคับไม่ได้เป็นอนัตตา..เกิดดับตลอดเวลา

————————————–

 

ประวัติพระจักขุบาลเถระ
เดิมท่านชื่อว่า มหาบาล วันหนึ่งท่านได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดา เกิดความเลื่อมใส จึงทูลขออุปสมบท บวชในพระพุทธศาสนา ท่านได้เรียน วิปัสสนากรรมฐานกับพระพุทธเจ้า แล้วทูลลาเพื่อเดินทางไปปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ในสถานที่แห่งหนึ่ง

เมื่อวันเข้าพรรษามาถึง พระมหาบาลระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ไม่ทรง โปรดปรานผู้ประมาทเพราะความประมาท ประตูแห่งอบาย ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน จึงตั้งใจจะอยู่ด้วยอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน และนั่ง เว้นอิริยาบถนอน และพระมหาบาลก็ได้ทำตามนั้น

หนึ่งเดือนผ่านไป โรคตาก็เกิดขึ้น น้ำตาไหลออก จากตาทั้งสองของ ท่านอยู่ตลอดเวลา ภิกษุทั้งหลายทราบเข้าก็ร้อนใจ ไปตามหมอซึ่งปวารณา เอาไว้ หมอได้รีบประกอบยาถวายท่าน แต่ท่านไม่ยอมนอนหยอด คงนั่ง หยอดยา

อาการจึงไม่ดีขึ้น ทั้งๆ ที่ยาที่หมอประกอบให้นั้น เป็นยาดีมาก ที่ เคยรักษาคนไข้มา หยอดเพียงครั้งเดียวก็หาย
หมอประหลาดใจมาก จึงเข้าไปสืบให้รู้ดูที่อยู่ของท่าน เห็นมีแต่ที่ จงกรมและที่นั่ง ไม่มีที่นอน

เพราะพระมหาบาล ตั้งใจไว้ว่า จะไม่นอนเป็น เวลา ๓ เดือนในพรรษา จึงไม่ต้องการทำลายความตั้งใจ แม้ตาทั้งสองจะ แตก จะทำลายก็ยอม แต่จะไม่ยอมทำลายความตั้งใจ

ท่านคงนั่งหยอดยา ทางจมูกอยู่นั่นเอง หมอรู้ว่า ด้วยอาการอย่างนี้ โรคของพระ ไม่อาจระงับได้ เกรงเสียชื่อของตน จึงขอท่านอย่าได้พูดกับใครว่า เขาเป็นหมอรักษาท่าน แล้วไม่ยอมรักษาต่อ

จนในที่สุด ดวงตาของท่านก็แตก พร้อมกับการดับ โดยสิ้นเชิงแห่งกิเลสทั้งปวง ท่านเป็น “พระอรหันต์สุกขวิปัสสก” ผู้หนึ่ง ดวงตาเนื้อของท่านดับสนิทลง

ทันใดนั้นดวงตา คือปัญญาก็พลุ่งโพลง แจ่มจรัสขึ้น บริสุทธิ์ ไร้มลทิน
เมื่อถึงเวลาออกบิณฑบาต เห็นจะเป็นเพราะตาท่านบอดลงทั้งสองข้าง คนทั้งหลายจึงเรียกท่านว่า “จักขุบาล” แทน “มหาบาล” อันเป็นชื่อเดิมของ

ท่าน เมื่อท่านได้ทำกิจของท่านเสร็จแล้ว หน้าที่ที่เหลืออยู่ก็คือ โอวาทสั่งสอ นภิกษุทั้งหลายให้สำเร็จมรรคผล ท่านได้ทำหน้าที่นั้น จนภิกษุทั้งหลายได้ สำเร็จอรหัตตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ ในพรรษานั้นเอง

ครั้งหนึ่ง พระจักขุปาลเถระเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาที่วัดพระเชตวัน ในคืนหนึ่งขณะที่ท่านเดินจงกรมอยู่นั้น พระเถระก็ได้เหยียบแมลง(เม่า)ตาย โดยไม่มีเจตนา

ในตอนเช้าพวกพระภิกษุที่ไปเยี่ยมพระเถระพบแมลงที่ตาย นั้นเข้า มีความคิดว่าพระเถระทำสัตว์ให้ตายโดยเจตนา จึงนำความขึ้นทูล พระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า

 

เห็นพระเถระฆ่าแมงเหล่านั้นโดยเจตนาหรือไม่ เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เห็น

พระศาสดาตรัสว่า
“พวกเธอไม่เห็นจักขุปาลฆ่าสัตว์ฉันใด จักขุปาลก็ไม่เห็นแมลงเหล่านั้นฉันนั้น นอกจากนั้นแล้ว พระจักขุปาลนี้ก็เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงไม่มีเจตนาที่จะฆ่า สัตว์และเป็นผู้บริสุทธิ์”

เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า พระจักขุปาลเถระนี้เป็น ถึงพระอรหันต์แต่เพราะเหตุใดจึงตาบอด พระศาสดาได้นำเรื่องในอดีตชาติ ของท่านมาตรัสเล่าว่า

ในอดีตชาติพระ จักขุปาลเป็นแพทย์ ครั้งหนึ่งไปรักษาตาให้แก่คนไข้ หญิงคนหนึ่ง คนไข้หญิงคนนี้ได้ให้สัญญากับนายแพทย์ว่านางกับลูกๆจะยอม เป็นข้าทาสรับใช้

หากว่าดวงตาที่บอดทั้งสองข้างของนางสามารถรักษา ให้หายได้ แต่ต่อมานางกลัวว่านางพร้อมกับลูกๆจะต้องตกเป็นทาสของนาย แพทย์จริงๆ

จึงได้พูดโกหกนายแพทย์ไปว่าดวงตาทั้งสองข้างของนางมี อาการแย่ไปกว่าเดิม ทั้งๆที่ได้รับการบำบัดหายขาดไปแล้ว ข้างนายแพทย์ ก็รู้ว่าคนไข้ของเขาหลอกลวงจึง

ได้แก้เผ็ดด้วยการผสมสารพิษลงใน ยา หลอดยาให้คนไข้นางนั้นหยอด พอนางหยอดเข้าไปก็เลยทำให้ตาบอดสนิท ทั้งสองข้าง เพราะผลของอกุศลกรรมในครั้งนั้นทำให้นายแพทย์ต้องตาบอด หลายครั้งในภพชาติ ต่างๆ

การแก้เผ็ด คือความโกรธส่งผลเป็นเจตนา
————————————–

“ลุงอนันต์เวลาจะทานข้าว ให้พี่ต่อตักข้าวให้ลุงนะคะ..เวลาพี่ต่อจะไปทำงาน..พี่ต่อจะได้ไม่ต้องทำงานแทนคนอื่น..ไม่ต้องถูกกดดัน”

ลุงว่า..”พี่ต่อมีกรรมกับพ่อ..แม่ชีเคยบอกลุง”

“ลุงเคยร้องไห้เป็นชั่วโมงๆหาต่อไม่เจอ..ต่อไปนอนบ้านเพื่อน..แต่ไม่ได้บอกลุง..ใช่กรรมอันนี้มั้ย..”

แม่ชีว่า..”ลุงต้องให้พี่ต่อตักข้าวให้ไงคะ..อยากดื่มน้ำก็ให้พี่ต่อหยิบให้ พี่ต่อก็ทำงานไป ถ้าลุงยังไม่เรียกก็ยังไม่ต้องตักเพราะตักแล้ว..เดี๋ยวพี่ต่อก็จะเรียกให้ลุงมาทานข้าวอีก..จะโมโหอีกพ่อไม่ทานข้าว”

ลุงว่า..”ลุงเกรงใจต่อเค้าทำงานหนักทุกวัน”
แม่ชีว่า..”ถ้าลุงเกรงใจ ลูกก็ยิ่งต้องเจออุปสรรคในการทำงาน..ความก้าวหน้าก็ต้องรอ..เหนื่อยนะคะ..ลุงต้องใช้พี่ต่อนะ..พี่ต่อจะเหนื่อยงานน้อยลง”

–บทสนทนาเล็กๆที่ไม่ใช่เรื่องเล็ก–

..สำหรับคนที่มีโอกาสดูแลพ่อแม่..แต่พ่อเกรงใจลูก..เกิดแรงกรรมกระทบที่ลูกอย่างจัง..ทำงานอย่างไง..ก็ไม่ถูกใจเพื่อนร่วมงาน..รักลูกอย่างเกรงใจลูกมันเป็นกรรม

..แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..