อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 33—เรื่อง..กรรม—

—เรื่อง..กรรม—

อ่านหนังสือวันละหน้า หน้าที่ 33

เคยล่วงเกินพระสงฆ์รูปหนึ่ง..เมื่อท่านมาขอมาม่า..แม่ชีบอกท่านว่า..วันนี้แม่ชีต้มข้าวไว้แล้ว..ท่านว่าไม่อยากฉันข้าวต้ม..

แม่ชีแค่เป็นคนดูแลของสังฆทาน..แต่พอนานไปแม่ชีคิดว่า..ของสังฆทานเหล่านี้เป็นของแม่ชี..ความหวงแหนเข้ามาเมื่อไหร่..แม่ชีไม่รู้ตัวเลย..แสดงความเป็นเจ้าของ..จนเกิดกรรม

แม่ชีเดินไปเปิดห้องสังฆทาน..หยิบมาม่ามาสองห่อโยนให้ท่าน

ท่านโยนกลับมา “ให้ต้มด้วย”
แม่ชีต้มเสร็จเอาไปวางไว้ข้างหน้าท่าน
ท่านว่า” ถวายให้ด้วย”
..แม่ชีข่มใจอย่างหนัก..ถวายเสร็จก็ไปจ่ายตลาด..

เดินซื้อกับข้าวเกือบเสร็จ..ขาดแค่มะม่วงสุก เดินไปถามแม่ค้า..แม่ค้าบอกว่า..”วันนี้ไม่มีมะม่วงสุก”

..คนเมาเดินมายืนข้างหน้าแม่ชี..
..พูดเสียงดังมาก..
“มีไอ้นี่จะแดกไอ้โน้น..โธ่เอ้ย..พวกอีหัวโล้น”

คำว่า”มีไอ้นี่จะแดกไอ้โน่น”..มันคือความคิดที่มีอคติกับพระ..คิดในใจแท้ๆ..เวลาใช้กรรม..ด่าออกมาเป็นเสียงเลย..ถูกด่า 2 ปี..คิดแค่ครั้งเดียว..

สังคมในการอยู่วัดเกิดกรรมง่ายมากถ้าไม่ระวังใจเราไว้ดีๆ

..กรรมชั่ววิ่งเข้าตา..เข้าหู..วิ่งเข้ามาแบบไม่มากไป..ไม่น้อยไป..เป็นไปเท่ากรรมที่ทำ..รับกรรมทุกวัน..

————————————-

–สาเหตุของกรรมที่เราไม่รู้—

ทำไมพวกเราหลักฐานไม่มั่นคง..ทั้งที่ทุกคนมีหน้าที่การงาน..รวมเท่าไหร่ก็ไม่เป็นหลัก..

อยากดูแลพ่อแม่ให้มีความสุข..อยากสร้างบุญในพระพุทธศาสนา..ทำไปทำมาทุกคนหลักลอย..

เรื่องมันมาจากราก..พ่อแม่ทำอาชีพอะไรเลี้ยงเรามา..สมมุติพ่อแม่ปู่ย่าตายายทำยากันยุงขาย..ได้เงินจากควันยากันยุงมาเลี้ยงลูก..

พวกเราโตมาจากเงินที่เป็นควันยากันยุง..

พอเราโตขึ้น..ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร..ก็ไม่มั่นคง..คนในครอบครัวเราจะทำตัวเป็นยุง ใช้เงินแบบสูบ..พี่น้องเราทำเงินได้เท่าไหร่ ก็ต้องเสียหายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

ครอบครัวเราทำมาหากินอาชีพอะไร ก็แล้วแต่..ถ้ายังอาศัยชายคาบ้านพ่อแม่อยู่..หาความสบายใจยาก

แล้วจะทำอย่างไร..กรณีแบบนี้

ถ้ามีพี่น้องเป็นผู้ชาย..บวชพระสามารถทดแทนคุณบิดามารดาได้..
ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติฐานสี่เท่านั้น..

ศีลบริสุทธ์..กายบริสุทธ์..เริ่มลงมือปฎิบัติ

สภาวะธรรมจะเกิดเวทนาทางกาย..เวียนหัวเหมือนถูกรมควัน..นั่งหรือเดินในขณะ..ที่ปฎิบัติจะง่วงงุน..ทำให้เบื่อไม่อยากปฎิบัติ

สภาวะธรรมต่างๆที่ไหลเข้ามาในการปฎิบัติ คือ กรรมทั้งสิ้น..กรรมเข้ามามีบทบาท..ที่กายแล้วเกิดเวทนา..จิตจะกำหนดอะไรไม่ได้..เพราะยุงที่ตายจากยากันยุง..จะมาบินอยู่รอบตัว..เสียงยุงบินจะดังเข้ามาในจิต..

เราจะไม่ปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้น..สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าเห็น..ยอมรับ..ปล่อยวาง

เพื่อใช้กรรม..ให้รากของบรรพบุรุษ
เรื่องนี้ใช้กรรมศีลข้อหนึ่ง

ขออนุโมทนาธรรมทาน..ควันยากันยุง
———————————-

ลูกรีดไถเอาเงินไปเสพยา..สาเหตุมาจากปู่ย่าตายายเหมือนกัน..สมมุติเขาขายเหล้าเถื่อนเลี้ยงเรามา..เหล้าเถื่อนผิดกฎหมาย

พอโตขึ้นเราต้องจะพบคนที่เรารัก..ติดสิ่งผิดกฎหมายเหมือนกัน..

กรรมเริ่มก่อตัวขึ้น เช่น เลิกได้มั้ย..ทำไมไม่ช่วยทำมาหากิน..จะเสพทุกวันไม่คิดจะเลิกหรือไง..ต้องทำไงถึงจะเลิกเสียที..ถ้าเรากำลังทะเลาะกัน..ลูกเราอยู่ในเหตุการณ์

ลูกเรา คือ คนต่อไปที่ติดยาทุกวัน..ไม่คิดจะเลิก จะเร้าขอเงินทุกวัน ไม่มีให้..ก็อาจถูกทำร้าย..

เพราะเหล้าเถื่อนที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายขายทำให้คนกินติดเหล้า..ทำร้ายพ่อแม่ทำร้ายครอบครัวเหมือนกัน

เรื่องนี้ศีลข้อห้า..ต้องปฎิบัติธรรมเหมือนกัน อุทิศให้บรรพบุรุษ

..มีทางออก..ถ้ากรรมยังไม่หมด..ก็มาปฎิบัติไม่ได้..เพราะจะคิดว่าไม่มีเวลา..

———————————-

แม่ชีทำกรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เยอะมาก..ใช้กรรมแบบอดทนอดกลั้นอย่างหนัก..บางเรื่องแลกกัน..แบบตาต่อตา

เขียนหนังสือเพื่อให้ทุกคนละอายเกรงกลัวต่อบาป..เพราะไม่ละอาย..จึงทำให้อับอาย

หวังว่าบทความในหนังสือหน้านี้จะทำให้ทุกคนมีทางออก

ถ้ามีเวลาขอเชิญทุกท่านร่วมปฎิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติฐานสี่ที่บ้านเพชรบำเพ็ญนะคะ

———————————-

ในพุทธกาลมีเรื่องหนึ่งอยากให้ทุกคนได้อ่านค่ะ เรื่องนี้น่าจะเป็นกำลังใจในการปฎิบัติ..บางเรื่องเราคิดว่าเมื่อไหร่ก็ได้..แต่ความจริงชีวิตเรา..ต้องปฎิบัติธรรมทุกวัน

นางอุตตราอุบาสิกา ผู้ลงทุนจ้างโสเภณีให้ทำหน้าที่แทนตนเอง

ในสมัยพุทธกาล ท่านปุณณเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีมีธิดาชื่อนาง อุตตรา ท่านได้ยกนางให้เป็นภรรยาของบุตรสุมนเศรษฐีแห่งเมืองราชคฤห์

ความจริงปุณณเศรษฐีไม่ค่อยเต็มใจนัก เนื่องจากครอบครัวของ ..สุมนเศรษฐีเป็นมิจฉาทิฏฐิ..แต่ด้วยความที่คุ้นเคยกันมาก่อน แล้วยังถูก ..วิงวอนขอร้องมากเข้า ปุณณเศรษฐีจึงจำใจยกให้

เมื่อนางอุตตรามาอยู่กับครอบครัวของสามี นางไม่มีโอกาสได้ ..ถวายทานหรือฟังธรรมเลย วันเวลาผ่านไปได้ ๒ เดือนครึ่ง เหลืออีกประ มาณ ๑๕ วันจะหมดช่วงเข้าพรรษา

นางมีความปรารถนาจะทำบุญให้ ทาน เพื่อสั่งสมบุญกุศลตามแบบอย่างอริยประเพณีที่ดีงามของพุทธ ..ศาสนิกชนผู้มีความตั้งมั่นในพระรัตนตรัย

นางจึงส่งข่าวไต่ถามบิดาว่า “เพราะเหตุใดให้มาอยู่ในตระกูล มิจฉาทิฏฐิ ซึ่งไม่ชอบการทำบุญกุศล ..เสมือนลูกถูกจับขังไว้ ถ้าหากคุณ พ่อทำให้ลูกเสียโฉมแล้วให้ไปเป็นคนรับใช้เขา.. ยังดีกว่าให้มาอยู่ในตระกูลสุมนเศรษฐีผู้ไม่รู้จักทำบุญทำกุศล

แม้แต่พระภิกษุลูกก็ไม่ได้เห็นให้ เป็นสิริมงคลเลย” เมื่อบิดารู้ข่าวเช่นนั้น รู้สึกไม่สบายใจ จึงส่งทรัพย์ ไปให้ ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ พร้อมส่งข่าวไปว่า

“ในเมืองนี้มีหญิงคณิกานาง หนึ่งชื่อสิริมา ถ้าลูกไปจ้างเธอให้มาดูแลสามี โดยจ่ายค่าจ้างให้วันละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ลูกจะได้มีโอกาสทำบุญตามชอบใจ”

เมื่อนางได้ทรัพย์ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็ได้ไปหานางสิริมา ซึ่ง เป็นหญิงโสเภณีประจำนครนั้น ได้เจรจาติดตามขอให้ช่วยเป็นตัวแทน ในการบำรุงบำเรอสามีของนางเองเป็นเวลา ๑๕ วัน แล้วมอบทรัพย์ให้ นาง ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ

นางสิริมาก็ตกลงยอมรับ และสามีของนางก็พอใจอนุญาตให้นางอธิษฐานองค์อุโบสถได้ตามความปรารถนา

เมื่อสามีอนุญาตแล้ว นางอุตตราจึงได้กราบทูลอาราธนาพระบรม ศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านของตน เป็น เวลา ๑๕ วัน

นางพร้อมด้วยทาสีผู้เป็นบริวาร ช่วยกันจัดของเคี้ยวของฉัน อันควรแก่สมณบริโภคน้อมนำเข้าไปถวายพระบรมศาสดาพร้อมด้วย พระภิกษุสงฆ์ อธิษฐานองค์อุโบสถ ครบกำหนดกึ่งเดือนโดยทำนองนี้

ในวันสุดท้ายของการรักษาอุโบสถ ขณะที่นางอัตตรากำลังขวนขวายจัดแจงภัตตาหารอยู่นั้น สามีของ
นางกับนางสิริมายืนดูอยู่ที่หน้าต่างบนปราสาทพลางคิดว่า

“นางอัตตราหญิงโง่คนนี้ คงจะเกิดมาจากสัตว์นรก ชอบทำการงานสกปรกเหมือนทาสีทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติก็มีอยู่มากมายแต่กลับไม่ ยินดี นางทำอย่างนี้ไม่สมควรเลย”

คิดดังนี้แล้วก็แสดงอาการยิ้มแย้ม เป็นเชิงเยาะเย้ย

ส่วนนางอุตตราผู้เป็นภริยาก็คิดว่า

“บุตรเศรษฐีผู้เป็นสามีของเรานี้ มีปกติประมาท โง่เขลา สำคัญว่าทรัพย์สมบัติของตนเหล่านี้เป็นของ ยั่งยืนถาวรตลอดไป”

แล้วนางก็แสดงอาการแย้มยิ้มบ้าง

นางสิริมา ซึ่งยืนอยู่กับบุตรเศรษฐีนั้น เห็นสองสามีภรรยายิ้มแย้ มด้วยกันดังนั้นก็โกรธ จึงรีบลงมาจากปราสาทเพื่อจะทำร้ายนางอุตตรา แม้นางอุตตราเห็นกิริยาอาการของนางสิริมานั้นแล้วก็ทราบดีว่าจะเกิด อะไรขึ้น

นางจึงเข้าฌานทั้ง ๆ ที่กำลังยืนอยู่ เจริญเมตตาจิตเป็นอารมณ์ แผ่เมตตาไปยังนางสิริมานั้นว่า

“หญิงสหายของเรานี้ มีอุปการะต่อเราเป็นอย่างมาก เราทำบุญ กุศลเพื่อหวังความสุขในพระนิพพาน ถ้าเราโกรธก็จะเวียนว่ายตายเกิด ผูกพยาบาทอยู่ในกามภพนี้”

บุญคุณของหญิงนี้มีมากมายนัก เพราะนาง เราจึงได้โอกาสถวายทาน และฟังธรรม ถ้าเรามีความโกรธต่อหญิง สหายนี้แม้แต่น้อย ขอเนยใสนี้จงลวกเราเถิด ถ้าหากไม่มี ขออย่าได้ลวก เลย”

นางสิริมา ได้จับกระบวยตักน้ำมันที่กำลังเดือดอยู่ในกระทะแล้ว เทราดลงบนศีรษะของนางอุตรา ที่กำลังเข้าฌานและแผ่เมตตาจิตอยู่ เนยใสเดือดพล่านที่นางสิริมาถือมา ได้ถูกราดลงบนศีรษะของนางอุตตรา

แต่ด้วยอานุภาพแห่งการเจริญเมตตาจิต เนยใสที่กำลังเดือด ได้ กลายเป็นน้ำเย็นชะโลมกาย ไม่สามารถทำอันตรายนางได้เลย. ด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌานบันดาลให้น้ำมันที่กำลังร้อนจัดนั้นได้ปราศจากความร้อน

และไหลตกไปประหนึ่งน้ำตกจากใบบัว
นางสิริมาเห็นเช่นนั้น จึงตกใจกลับได้สติสำนึกตัวว่าเป็นผู้มาอยู่ เพียงชั่วคราว จึงกราบลงแทบเท้านางอุตตราวิงวอนขอให้ยกโทษให้แต่

นางอุตตรากล่าวว่า “ฉันจะยกโทษให้ ก็ต่อเมื่อบิดาของฉันคือพระบรม ศาสดายกโทษให้เธอก่อนเท่านั้น”

เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาพร้อมภิกษุสงฆ์ ประทับบนพุทธอาสน์ เพื่อเสวยภัตตาหาร

ณ ที่บ้านของนางอุตตราในเช้าวันนั้น นางสิริมาได้ กราบทูลกิริยาที่ตนกระทำต่อนางอุตตราให้ทรงทราบโดยตลอดแล้ว

กราบทูลขอให้ทรงยกโทษให้ เมื่อพระบรมศาสดาทรงยกโทษให้แล้วก็ เข้าไปหานางอุตราให้ยกโทษให้อีกครั้งหนึ่งพระบรมศาสดาเมื่อเสร็จภัต กิจแล้ว

ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนา

ตรัสพระคาถาภาษิตว่า:-

..พึงชนะความโกรธ..ด้วยความไม่โกรธ..พึงชนะคนไม่มี..ด้วยความดี..พึงชนะคนตระหนี่..ด้วยการให้..พึงชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง ฯ

..เมื่อจบพระธรรมเทศนา..

นางสิริมาได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แสดงตนเป็นอุบาสิกาให้ทานรักษาศีลและฟังธรรมตามกาลเวลา พระบรมศาสดาอาศัยเหตุที่นางอุตตราเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเข้าฌาน

..แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..