พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพระเรวัตตะน้องชายพระสารีบุตร

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพระเรวัตตะน้องชายพระสารีบุตร

ครั้งนั้น พระสารีบุตร เมื่อได้ทราบข่าวการบวชของท่านเรวัตตะ จึงได้กราบทูลพระศาสดาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นัยว่า พระเรวัตตะผู้เป็นน้องชายของข้าพระองค์บวชแล้ว ข้าพระองค์จักไปเยี่ยมเธอ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่าพระเรวัตตะเพิ่งจะเริ่มทำความเพียรเจริญวิปัสสนา

จึงทรงห้ามพระสารีบุตรถึง ๒ ครั้ง
ในครั้งที่ ๓ เมื่อพระสารีบุตรทูลอ้อนวอนอีก

ทรงทราบว่า พระเรวตะได้บรรลุพระอรหัตแล้วจึงตรัสว่า สารีบุตร แม้เราเองก็จักไป เธอจงบอกให้พวกภิกษุได้ทราบด้วย

พระเถระสั่งให้ภิกษุทั้งหลายมาประชุมกันแล้ว แจ้งให้ภิกษุทั้งหมดได้ทราบด้วยคำว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย

พระศาสดา ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จไปสู่ที่จาริก พวกท่านผู้มีความประสงค์จะตามเสด็จด้วย ก็จงมาเถิด

ในกาลที่พระทศพลจะเสด็จไปสู่ที่จากริก

ชื่อว่าพวกภิกษุผู้ที่ไม่ประสงค์จะติดตามไปมีจำนวนน้อย พวกภิกษุโดยมากมีความประสงค์จะตามเสด็จด้วย

เพราะตั้งใจกันว่า พวกเราจักได้เห็นพระสรีระอันมีวรรณะดุจทองคำของพระศาสดา หรือว่าพวกเราจักได้ฟังพระธรรมกถาอันไพเราะ

เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงเสด็จออกไปด้วยพระประสงค์ว่า จักเยี่ยมพระเรวัตตะ โดยมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร

พวกภิกษุอาศัยบุญของพระสีวลี

ในเวลาเสด็จไปหน่อยหนึ่ง มาถึงหนทาง ๒ แพร่ง พระอานนเถระจึงกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญตรงนี้มีหนทาง ๒ แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหน พระเจ้าข้า

พระศาสดาตรัสถามว่า อานนท์หนทางไหน เป็นหนทางตรง พระอานนท์กราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญหนทางตรงมีระยะประมาณ ๓๐ โยชน์ เป็นหนทางที่มีอมนุษย์ ส่วนหนทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐ โยชน์

เป็นหนทางสะดวกปลอดภัย มีภิกษาดีหาง่าย พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สีวลีได้มาพร้อมกับพวกเรามิใช่หรือ

พระอานนท์กราบทูลว่า ใช่ พระสีวลีมาแล้วพระเจ้าข้า พระศาสดาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นพระสงฆ์จงไปตามเส้นทางตรงนั้นแหละ

เราจักได้ทดลองบุญของพระสีวลี พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จขึ้นสู่เส้นทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อจะทรงทดลองบุญของพระสีวลีเถระ

เมื่อพระศาสดาทรงดำเนินไปทางนั้น พวกเทวดาคิดว่า

“พวกเราจักทำสักการะแก่พระสีวลีเถระ พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

ให้สร้างวิหารในที่โยชน์หนึ่ง ๆ ไม่ให้เกินไปกว่าโยชน์หนึ่ง ลุกขึ้นแต่เช้าเทียวถือเอาวัตถุมีข้าวต้มเป็นต้นอันเป็นทิพย์แล้วเที่ยวไปด้วยตั้งใจว่า

“พระสีวลีเถระผู้เป็นเจ้าของเรา นั่งอยู่ที่ไหน?”

พระสิวลีเถระให้เทวดาถวายภัตที่นำมาเพื่อตน แก่ภิกษุสงฆ์ มีพระ พุทธเจ้าเป็นประมุข พระศาสดาพร้อมทั้งบริวารเสวยบุญของพระสีวลี เถระผู้เดียว ได้เสด็จไปตลอดทางกันดารประมาณ ๓๐ โยชน์

จำเดิมแต่ที่ได้เสด็จไปตามหนทาง
หมู่เทวดาได้เนรมิตวิหารในที่ทุกๆ โยชน์

ช่วยกันจัดแจงพระวิหารเพื่อเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์และเป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์

พวกเทวดาทั้งหลายได้ถือเอาข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้น เที่ยวเดินหาและถามกันอยู่ว่า

พระผู้เป็นเจ้าสีวลีของพวกเราไปไหน

ดังนี้แล้ว จึงไป พระเถระให้ช่วยกันถือเอาสักการะและสัมมมานะแล้วไปเฝ้าพระศาสดา

พระศาสดาได้ทรงเสวยร่วมกับภิกษุสงฆ์ โดยทำนองนี้แหละ พระศาสดาเมื่อจะทรงเสวยสักการะ เสด็จไปวันละโยชน์เป็นอย่างสูง จนล่วงพ้นหนทางกันดาร ๓๐ โยชน์ เสด็จถึงที่อยู่ของพระขทิรวนิยเรวัตตะเถระแล้ว

ฝ่ายพระเรวัตตะเถระ ทราบการเสด็จมาของพระศาสดา จึงนิรมิตพระคันธกุฎีเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า นิรมิตวิหาร ที่จงกรม และที่พัก

กลางคืนและที่พักกลางวันจำนวนเพียงพอแก่ภิกษุสงฆ์ ณ ที่อยู่ของตนนั่นแหละ แล้วออกไปทำการต้อนรับพระตถาคตเจ้า

พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังพระวิหารตามหนทางที่ประดับตกแต่งแล้ว ครั้นเมื่อพระตถาคต เสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎีแล้ว

พวกภิกษุจึงค่อยเข้าไปยังเสนาสนะที่ถึงแล้วตามลำดับพรรษา พวกเทวดาคิดว่า เวลานี้มิใช่เวลาอาหาร

จึงได้นำเอาน้ำปานะ ๘ อย่างถวายพระศาสดา ทรงดื่มน้ำปานะร่วมกับภิกษุสงฆ์ เมื่อพระตถาคตเสวยสักการะและสัมมานะโดยทำนองนี้นั่นแหละ เวลาผ่านไปแล้วครึ่งเดือน

ก็บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุแก่ ๒ รูป ในเวลาพระศาสดาเสด็จเข้าไปสู่ป่าไม้ตะเคียน คิดอย่างนี้ว่า

“ภิกษุผู้ทำการก่อสร้างได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ จะทำสมณธรรมได้อย่างไร? พระศาสดาทรงเห็นแก่หน้าว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตร จึงเสด็จมาสู่สำนักของเธอ”

ลำดับนั้น พระศาสดาทรงดำริว่า เมื่อเราอยู่ในที่นี้นานไป สถานที่นี้จักกลายเป็นที่ไม่สงบไป

ธรรมดาพวกภิกษุผู้อยู่ในป่า ต้องการความสงบเงียบมีอยู่ การอยู่ด้วยความผาสุกจักไม่มีแก่พระเรวัตตะแน่ แต่นั้นก็เสด็จไปสู่ที่พักกลางวันของพระเถระ

แม้พระเถระก็อยู่เพียงผู้เดียวอาศัยแผ่นกระดานพาดยึดที่ท้ายจงกรม นั่งบนหลังแผ่นหินแล้วได้มองเห็นพระศาสดา เสด็จมาแต่ไกลเทียว จึงลุกขึ้นต้อนรับแล้ว

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามเธอว่า เรวัตตะสถานที่นี้เป็นที่มีสัตว์อันตราย เธอได้ฟังเสียงช้างม้าเป็นต้นที่ดุร้ายแล้ว จะทำอย่างไร ?

พระเถระกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมดาว่าความยินดีในการอยู่ป่า บังเกิดขึ้นแล้วแก่ข้าพระองค์ ก็เพราะได้ฟังเสียงของสัตว์เหล่านั้นแล ณ สถานที่นั้นพระศาสดาได้ตรัสถึงชื่อว่า

อานิสงส์ในการอยู่ป่า ด้วยพระคาถา ๕๐๐ คาถาแด่พระเรวัตตะเถระ

พระศาสดาทรงอธิษฐานให้ภิกษุลืมบริขาร

วันรุ่งขึ้นเสด็จไปบิณฑบาตในสถานที่ไม่ไกล ตรัสเรียกพระเรวตเถระมาแล้ว ได้ทรงบันดาลให้ภิกษุผู้ที่กล่าวโทษพระเถระให้หลงลืมไม้เท้า รองเท้า ทะนานน้ำมันและร่ม

แล้วจึงเสด็จออกไป ครั้นเมื่อเวลาเสด็จออกไปภายนอกแต่อุปจารวิหารแล้ว จึงทรงคลายพระฤทธิ์

พวกภิกษุเหล่านั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าตนลืมบริขาร จึงพากันกลับมาเพื่อนำบริขารของตนไป แม้ภิกษุเหล่านั้นจะย้อนกลับไปตามเส้นทางที่มาแล้วก็ตาม

แต่ไม่สามารถจะจำสถานที่นั้นได้ เพราะเมื่อไปครั้งแรก ภิกษุเหล่านั้นเดินไปตามเส้นทางที่พระเรวัตตะเนรมิตประดับตกแต่งไว้งดงาม ราบเรียบ

แต่วันนั้น กลับต้องเดินไปตามทางขรุขระ ในบางที่นั้นต้องนั่งยองๆ บางที่ต้องเดินเข่า ภิกษุเหล่านั้นพากันเดินเยียบย่ำกอไม้พุ่มไม้ และหนาม

ไปถึงสถานที่ที่ตนเคยอยู่ จึงจำได้ว่าร่มของตนคล้องไว้ที่ตอตะเคียนตรงนั้น ตรงนั้น จำได้ว่ารองเท้าไม้และทะนานน้ำมันอยู่ตรงนั้น ในตอนนั้น

ภิกษุเหล่านั้น จึงทราบว่า พระเรวัตตะเถระนี้มีฤทธิ์ ได้เนรมิตสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายที่ตนพบมา จึงถือเอาบริขารของตนที่ลืมไว้ แล้วพากันพูดว่า สักการะเห็นปานนี้ ย่อมเป็นสักการะที่พระเถระจัดแจงไว้เพื่อรับรองพระทศพล ดังนี้แล้ว จึงได้พากันไป
………………………………………………………
พระพุทธองค์ทรงบันลือสิงหนาทให้แก่พระสิวลีที่มากไปด้วยลาภแม้เสด็จอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ตลอดจนแสดงให้พระภิกษุทั้งหลายสิ้นสงสัยในพระเรวัตตะเถระผู้สำเร็จเป็นพระอรหัตน์

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ