พญามารก็ทุกข์ใจ เสียใจเป็นเหมือนกัน

พญามารก็ทุกข์ใจ เสียใจเป็นเหมือนกัน

การปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์แก่พุทธศาสนิกชนโดยทั่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่พญามาร

พญามารเป็นเทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในทางกามคุณอารมณ์

ต้องการให้สัตว์โลกทั้งหลายเพลิดเพลิน
อยู่กับกามคุณอารมณ์

ผู้ใดตรึกที่จะออกจากกามคุณ ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีการบรรพชา อุปสมบท ทำฌานหรือวิปัสสนาก็ตาม

เมื่อมารรู้เข้า ก็จะตามผจญผู้นั้นเพื่อมิให้ออกจากกามคุณไปได้

ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ อันเป็นวิสาขะ ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

พญามารได้นำพลพรรคเสนามารมาเป็นจำนวนมาก เพื่อขัดขวางเจ้าชายสิทธัตถะ แต่ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้แก่อำนาจบารมีที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บำเพ็ญมา

พญามารจึงเกิดความเสียใจไปนั่งอยู่ที่หนทางใหญ่ แล้วขีดเส้นลงบนแผ่นดิน ๑๖ เส้น แต่ละเส้นมีความหมายดังนี้

เส้นที่ ๑ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ ทานบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๒ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ ศีลบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๓ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ เนกขัมมบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๔ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ ปัญญาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๕ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ วิริยะบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๖ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ ขันติบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๗ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ สัจจบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๘ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ อธิษฐานบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๙ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ เมตตาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๑๐ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญ อุเบกขาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ 

เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๑๑ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด 

อินทริยปโรปริยัตติญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้

เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๑๒ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด 

อาสยานุสยญาณ อันไม่ทั่วไทุกข์หม่นหมองใจาให้ปรินิพพานมาหลายครั้งแล้ว เมื่อถึงวันนี้มารจะไม่มีความสุขได้อย่างไร

เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๑๓ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด 

มหากรุณาสมาปัตติญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้

เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๑๔ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด 

ยมกปาฏิหาริยญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้

เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๑๕ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด

อนาวรณญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้

เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

เส้นที่ ๑๖ มารคิดว่าเราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด

สัพพัญญุตญาณ อันไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเหมือนสิทธัตถะนี้ เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้

มารนั่งขีดเส้น ๑๖ เส้นอยู่ที่ทางใหญ่ด้วยความเสียใจ เพราะเหตุดังกล่าวมานี้

ก็สมัยนั้นธิดาของมาร ๓ นางคือ นางตัณหา นางอรตี และ นางราคา คิดว่าบัดนี้บิดาของพวกเราอยู่ที่ไหนหนอ 

จึงพากันมองหา ได้เห็นบิดาผู้มีความโทมนัสนั่งขีดแผ่นดินอยู่ จึงพากันไปหาแล้วถามว่า ท่านพ่อเพราะเหตุไรท่านพ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ

มารกล่าวว่าลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ (หมายถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ล่วงพ้นอำนาจของเราเสียแล้ว พ่อคอยดูอยู่ตลอดเวลาประมาณเท่านี้ (เวลา ๗ ปี) ไม่อาจได้เห็นช่องคือโทษของสมณะนี้ เพราะเหตุนั้นพ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ

ธิดามารกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านพ่ออย่าเสียใจเลย ลูกๆจักทำมหาสมณะนั่นไว้ในอำนาจของพวกตน แล้วพามา

มารกล่าวว่า ลูกเอ๋ยมหาสมณะนี้ ใครๆไม่อาจทำไว้ในอำนาจได้ บุรุษผู้นี้ตั้งอยู่ในศรัทธาอันไม่หวั่นไหว

ธิดามารกล่าวว่า ท่านพ่อ พวกลูกชื่อว่าเป็นสตรี ลูกๆจักเอาบ่วงคือ “ราคะ” เป็นต้น ผูกมหาสมณะนั้น แล้วนำมาเดี๋ยวนี้แหละ

ครั้นแล้วธิดามารจึงเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกข้าพระบาทจะบำเรอบาทของพระองค์

พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงใส่ใจถึงคำของพวกนาง ทั้งไม่ทรงลืมพระเนตรแลดู ทรงนั่งเสวยสุขอันเกิดแต่วิเวกอย่างเดียว 

เพราะทรงน้อมพระทัยไปในธรรมอันเป็นเครื่องสิ้นแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม (อุปธิ เป็นชื่อของ กิเลสก็ได้ ขันธ์ก็ได้)

ธิดามารคิดกันอีกว่า ความประสงค์ของผู้ชายเอาแน่ไม่ได้ บางพวกมีความรักหญิงเด็กๆ บางพวกรักหญิงผู้อยู่ในปฐมวัย บางพวกรักผู้หญิงอยู่ในมัชฌิมวัย 

ถ้ากระไรพวกเราควรเอารูปต่างๆอย่างเข้าไปล่อ แต่ละนางจึงเนรมิตอัตภาพของตน

โดยเป็นหญิงวัยรุ่น หญิงกลางคน หญิงผู้ใหญ่ เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง ๖ ครั้ง

แล้วทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ข้าทั้งหลายจะบำเรอบาทพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงใส่พระทัยแต่ทรงน้อมพระทัยไปในธรรมเป็นเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม (นิพพาน)

ธิดามารเหล่านั้นพากันกล่าวคำเป็นต้นว่า เป็นความจริงบิดาของพวกเราได้กล่าวไว้ว่า พระอรหันต์สุคตเจ้าในโลก ใครๆจะนำไปง่ายๆด้วยราคะ หาได้ไม่ ดังนี้แล้วพากันกลับมายังที่อยู่ของบิดาตน

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเสด็จจาริกไปโปรดสัตว์ตามที่ต่างๆ มารก็ตามมาขัดขวางอยู่บ่อยๆ 

จนเมื่อพระพุทธองค์ใกล้จะปรินิพพาน มารก็ยังมาทูลอาราธนาให้ปรินิพพานเสียเร็วๆ เพราะเมื่อได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส

ในคำสอนก็จะลดน้อยลง บุคคลจำนวนมากก็จะตกอยู่ภายใต้บ่วงมารต่อไป

ด้วยเหตุนี้เมื่อถึงวันที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานอันตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ จึงเป็นวันที่นำความสุขมาให้แก่มาร เพราะมารได้ทูลอาราธนาให้

ปรินิพพานมาหลายครั้งแล้ว เมื่อถึงวันนี้มารจะไม่มีความสุขได้อย่างไร

………………………………………………………

การชนะที่ประเสริฐคือการชนะใจตนเอง

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ