ปัตจัจจัง ธรรมทาน-: หน้าที่ 8 :-

ปัตจัจจัง ธรรมทาน

-: หน้าที่ 8 :-

..ความเห็นผิด..ส่งผล..

ทาน..ที่ให้แล้วมีผลจริง
ยิ่งให้ทาน..แก่ทักขิไณยบุคคลหรือผู้ควรแก่ทักขิณา
บุคคลที่ได้ฝึกอบรมตนในทางความประพฤติ และคุณธรรมต่างๆ อย่างเพียบพร้อม  กลายเป็นตัวอย่างแห่งชีวิต
ทีดีงามและมีความสุขยิ่ง มีผลมาก

แต่เราให้ไม่ขาด..เฝ้าถามหา..สิ่งที่ให้ยังอยู่มั้ย?? ได้ใช้หรือเปล่า?? 
..มีความสงสัยไม่สิ้น..

นั่นหมายความว่า..เรายังยึดมันถือมั่นในสิ่งที่ให้..แล้วก็ไม่รู้ว่า..สิ่งที่ให้..ได้มาจากทรัพย์ที่บริสุทธิ์หรือเปล่า

สิ่งที่ทำแล้ว..มีผลจริง..สงเคราะห์ญาติ สงเคราะห์คนที่ด้อยโอกาส 

บางครั้ง..สิ่งของที่เอาไปให้
ไม่มีอะไร..เป็นของเราสักอย่าง
แต่ก็สวมสิทธิ์..เป็นผู้จัดการเสร็จสรรพ 

สงเคราะห์ญาติ..ยิ่งเป็นไปได้ยากมาก 

อนุเคราะห์..พระภิกษุ..สามเณร..ผู้ประพฤติธรรม..แทนที่จะปลื้มปีติ เพราะได้ต่ออายุพระพุทธศาสนา ให้ท่านมีโอกาสทำหน้าที่ของท่านอย่างแท้จริง 

ก็คอยจับผิด..เสียดสี..นินทาพระสงฆ์สามเณร..นั่น..นี่..สารพัดไม่เคารพศรัทธาอย่างแท้จริง

การเซ่นสรวง..หรือ..การบูชา..มีผลจริง

การบูชา..คือ..การนำสิ่งของที่สมควรไปสักการะ..หรือ..มอบให้..ผู้ที่ควรบูชาซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ทำคุณงามความดีทั้งแก่ตนและผู้อื่น 

การบูชาเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที..ผู้มีพระคุณต่อเรา เป็นการยอมรับนับถือ ยึดไว้เป็นแบบอย่าง

ส่งเสริมให้เกิดกำลังใจในการทำความดีการบูชาบุคคลผู้ควรบูชา ถือเป็นมงคลอันสูงสุดอย่างหนึ่ง

ความอิจฉา..มีมาก..ก็ไม่อยากเห็นความเจริญของใคร..ไม่เปิดโอกาสให้ตนเอง ที่จะนำมาเป็นแบบอย่าง 
..ไม่ยินดีในความดีของใคร..

วิบากแห่งกรรมดี..กรรมชั่ว..มีผลจริง 
กรรม..แปลว่า..การกระทำโดยเจตนา..คือ..การกระทำทางกาย..วาจา..และใจ ไม่ว่าดี..หรือ..ชั่วที่เกิดจากความตั้งใจของผู้กระทำ ถือว่าเป็นกรรมทั้งสิ้น

มนุษย์ทุกคน..ล้วนปรารถนาความสุข 
การที่เราตั้งใจศึกษาวิชาการต่างๆ นั้นเพื่อเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคงและความสุขให้กับชีวิต 

..หากเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมดี..
เราจะได้เลือกทำแต่ความดี..ละเว้นจากความชั่วและบาปอกุศลทุกชนิด

ก็เชื่อว่า”กรรมมีอยู่จริง” แต่ก็ไม่เคยเว้นได้ ด้วยผลแห่งความยึดมั่นถือมั่น..ก้าวไม่พ้น..กิเลสในใจ..ผิดศีล..ผิดธรรม..อารมณ์ในใจจึงเสวยผลแห่งกรรมตลอดเวลา

โลกนี้มีจริง..โลกตามหลักพระพุทธศาสนามีความหมาย กว้างมาก คือ ครอบคลุมไปถึง 3 เรื่อง 

ตั้งแต่สัตว์โลก หมายถึง จิตใจของหมู่สัตว์ทั้งหลายขันธ์โลกหรือสังขารโลก 

หมายถึง สังขารร่างกาย ขันธ์ 5 ของคนและสัตว์ทุกชนิดที่ประกอบด้วยกายและใจและโอกาสโลก หมายถึง สถานที่สัตวโลกได้อยู่อาศัย และที่ทำมาหากินรวมถึงบรรยากาศรอบตัว

โลกมีความสำคัญเพราะต้อง
อาศัยสร้างกุศลบารมี และโลกใบนี้ก็เป็นโลกแห่งการแสวงบุญ ไม่ใช่โลกแห่งการเสวยบุญ ต้องเร่งรีบสั่งสมบุญกุศลให้มากๆ

ความประมาทในชีวิตของเราแต่ละวัน ไม่เคยสนใจโลกใบนี้อย่างแท้จริง
เราแสวงหาผลประโยชน์หมกหมุ่นติดอยู่ในวังวนแห่งกามคุณและอบายมุข

เสียทรัพย์กับความพอใจจำนวนมาก
โดยไม่เสียดาย เห็นแก่ตัวมากกว่าจะเห็นแก่ส่วนรวม

โลกหน้ามีจริง หมายถึง เชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีจริงไม่ได้ขาดสูญ หากจะสูญ 
ก็สูญเฉพาะสังขารร่างกายนี้เท่านั้น 

ยังไม่หมดกรรมเราจะได้รูปกายใหม่ ที่มีใจดวงเดิมเข้าไปครอง จะไปเป็นอะไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับบุญและบาปที่ได้ทำไว้ ในภพชาตินี้ เพราะกรรมจะเป็นเครื่องแบ่งแยกสัตว์ให้แตกต่างกัน 

เรื่องโลกหน้ายิ่งไกลออกไปอีก เกิดมาก็ไม่ได้มีเป้าในการดำเนินชีวิต อยากทำอะไรผิด หรือถูกไม่เคยสนใจมีอารมณ์เป็นใหญ่ขาดสติที่จะทบทวนหรือเปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป

มารดามีคุณจริง ถ้าหากเรามีความเห็นที่ถูกต้องว่า มารดามีคุณต่อเราอย่างน้อย 3 ประการ คือ ให้ชีวิตแก่บุตร ให้ต้นแบบร่างกายที่เป็นมนุษย์ซึ่งเหมาะต่อการทำความดี และให้ต้นแบบทางจิตใจแก่บุตร 

แต่เราก็เห็นคุณของมารดาน้อยมาก
แทบจะไม่มองด้วยซ้ำ 

หากมารดาไม่มีทรัพย์สินเลี้ยงดู..ยิ่งไม่ต้องพูดถึง..เราซึมซับแต่บาปเสียดสี..แม่มีใจลำเอียง..ถกเถียงไม่เกรงกลัว..แม่ก็น้ำตาตก

บิดามีคุณจริง โดยทั่วไปบิดามีพระคุณต่อบุตร 3 ประการ เช่นเดียวกับมารดา 

แต่มักมีผู้สงสัยว่า บิดาที่ไม่ได้ให้การเลี้ยงดูบุตร ไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นพ่อนั้นจะยังมีคุณต่อลูกหรือไม่ 

ขอตอบแทนพ่อทุกคนว่า ท่านมีคุณต่อเรามาก เพราะเราต้องเกิดแบบชลาพุชะ คือเกิดในครรภ์ จำเป็นจะต้องอาศัยพ่อและแม่เป็นผู้ให้กำเนิด 

เริ่มที่พ่อเสพที่แม่ แล้วกลายมาเป็นเรา จะขาดบิดาไม่ได้ 

ดังนั้นถ้าไม่มีพ่อ เราก็ไม่อาจเกิดมา เพื่อสร้างบารมี นับว่ามีบุญคุณอย่างเหลือล้น

ความเห็นผิดจากความเป็นจริง ทำให้เรามีจิตใจหยาบช้า เสียดสีนินทาว่าร้าย
ไม่มีความเคารพด้วยคำที่รุนแรง
ไม่น่าทำให้เกิดมาเลย ไม่น่าเป็นพ่อจริงๆ
ปฏิเสธการให้ชีวิต

สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นมีจริง คือเกิดแบบไม่ต้องอาศัยครรภ์มารดา ข้อนี้เป็นศาสตร์แห่งใจหยุดนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น

ผลของกรรมดี..ตายแล้วผุดเป็นเทวดามีรัศมีเรืองรองมีอาภรณ์ประดับกาย
ใช้กรรมดีหมด ก็มาเกิดใหม่

ผลของกรรมชั่ว..ตายแล้วเสวยผลกรรม กายผุดเป็นเปรตร่างกายล่อนจ้อนหิวโหย ใช้กรรมชั่วหมด ก็มาเกิดให้

พระอรหันต์ ผู้สามารถรู้แจ้งโลกนี้โลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นที่ถูกต้องนี้จะนำไปสู่ความศรัทธาเลื่อมใสและอยากทำบุญกับผู้หมดกิเลส

หรืออย่างน้อยให้ได้ทำบุญกับพระสงฆ์ ที่ท่านกำลังฝึกหัดขัดเกลาตนให้หลุดพ้นจากกิเลส เราย่อมจะได้บุญใหญ่ ละโลกแล้ว ย่อมจะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป 

แต่ก็สงสัยพระสงฆ์ตลอดเวลา ทำไมไม่เป็นพระในแบบที่เราคิด

เพียรเพื่อละอกุศลกรรมในใจเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ความเห็นผิดเป็นกรรมให้เกิด
อุปาทาน : ความถือมั่น ความยึดติด

ถือค้าง ถือคาไว้ ไม่ปล่อย ไม่วาง ตามควรแก่เหตุผล เนื่องจากติดใคร่ ชอบใจ ปรารถนาอย่างแรง เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น
ตามเชื้อแห่งกรรม 

ถึงแม้จะได้คุณวิเศษ ก็ต้องชดใช้กรรม

เมื่อเจริญวิปัสสนา จึงต้องต่อสู้กับอารมณ์ในใจที่กรรมปรุงแต่งให้ไหลลงในหลุมดำ ลบหลู่ ตีเสมอ ก่อเวร

ยิ่งนั่ง..ก็ยิ่งโกรธ 
มีความโกรธทวีคูณ มีความอยากได้อยากมี อยากเป็น 

บางครั้งก็หลงว่า แนวทางของตนเป็นแนวทางที่ถูกต้อง 
ขาดการพิจารณอย่างแยบคาย

ท่านเชื่อมั้ยเรามีความเห็นผิดแบบนี้จริงๆ
อารมณ์ในใจ ไม่ได้เป็นกุศลตลอดเวลาด้วยผลแห่งกรรมจากความเห็นผิด

รู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่ายอารมณ์ในใจที่มีแต่บาปอกุศล

นั่งฟุ้งซ่าน รำคาญใจ คิดแต่เรื่องลามกเห็นแต่ภาพกรรมนั่นนี่ ปรุงแต่ง ไม่หยุด

เดี๋ยวปวดขาจะหลุด เดี๋ยวได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมา เดี๋ยวได้ยินเสียงก้องเข้ามาในใจ หาอารมณ์สงบไม่เจอ นั่งแล้วคัน
เหมือนมดเป็นรังๆเดินอยู่เต็มร่างกาย
ลืมตาเพื่อปัดออก ก็ไม่มีสักตัวเดียว

หลับตา..หาเหตุผล..ก็รู้ว่ากำลังชดใช้กรรมที่มีความเห็นผิดต่างๆ

เจริญวิปัสสนา..เพื่อชดใช้กรรม
จะมีอารมณ์ในใจ..เวทนาอย่างนี้ 
กายกระทบเวทนาอย่างนี้ 
เบียดเบียนอะไร..ไว้แม้แต่ชีวิตเดียว..ก็ต้องชดใช้..

..สิ้นสงสัยในพระรัตนตรัย..
..สิ้นสงสัยในกรรมดี..กรรมชั่ว..
..มีศรัทธาตั้งมั่น..ไม่หวั่นไหว..

..รู้สึกสว่างกระจ่างใจมล..
..น้อมกราบ..ระลึกถึงพระรัตนตรัย..ว่าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต..

หาทางทุบกำแพงอุปาทาน..ที่ผุดขึ้นในใจทุกขณะจิต

มองไปสุดขอบฟ้า..เห็นนกบินกลับรัง
ได้ธรรมะสอนใจตนทันที

หากเราแสวงหาความหลุดพ้น
เราต้องปล่อยวางตัณหาอุปาทาน
ลดอัตตาตัวตน 
ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ใจเราจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง

..รู้ใจผู้อื่น..ก็ไม่เท่า..รู้ใจตนเอง..

..สาธุ..ปัตจัตตัง..ธรรมทาน..

..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..