ธรรมธัชบัณฑิต ตอนที่ 2


 

..ธรรมธัชบัณฑิต ตอนที่ 2..

พระราชารับว่า ดีละ จึงตรัสเรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนอาจารย์ อุทยานท่านได้สร้างเสร็จแล้ว ท่านจงสร้างสระโบกขรณีอันแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการอันสมควรแก่อุทยานนี้เถิด ถ้าไม่สามารถสร้างได้ ชีวิตท่านจะหาไม่

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์สามารถจักสร้างถวายได้ พระเจ้าข้า

ลำดับนั้นท้าวสักกะจึงเนรมิตสระโบกขรณีอันงดงามยิ่งมีท่าสนานร้อยหนึ่ง มีเขาวงกตพันหนึ่ง ดารดาษไปด้วยดอกปทุมห้าสีเช่นกับสระโบกขรณีนันทา

รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ได้ทำสระนั้นให้ประจักษ์แล้ว จึงกราบทูบพระราชาว่า ขอเดชะข้าพระพุทธเจ้าสร้างสระโบกขรณีเสร็จแล้วพระเจ้าข้า

พระราชาทอดพระเนตรเห็นสระโบกขรณีนั้น จึงตรัสถามกาฬกะว่า เราจะทำอย่างไรต่อไป

กราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์จงสั่งให้สร้างคฤหาสน์อันคู่ควรแก่อุทยานเถิด

พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์บัดนี้ท่านจงสร้างคฤหาสน์อันล้วนแล้วไปด้วยงาช้าง สมควรแก่อุทยานนี้ และสระโบกขรณีเถิด หากสร้างไม่ได้ชีวิตของท่านจะหาไม่

ครั้นแล้วท้าวสักกะก็เนรมิตคฤหาสน์ให้แก่พระโพธิสัตว์ รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ทำคฤหาสน์นั้นให้ประจักษ์ แล้วกราบทูลแด่พระราชา

พระราชาทอดพระเนตรเห็นคฤหาสน์นั้นแล้ว จึงตรัสถามกาฬกะว่า บัดนี้จะทำอย่างไรต่อไป

กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงรับสั่งให้สร้างแก้วมณีอันสมควรแก่คฤหาสน์นั้นเถิดพระเจ้าข้า

พระราชารับสั่งให้พระโพธิสัตว์มหาตรัสว่า บัณฑิตท่านจงสร้างแก้วมณีอันสมควรแก่คฤหาสน์ล้วนไปด้วยงานี้เถิด เราจักเที่ยวเดินด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณี หากท่านสร้างไม่ได้ ชีวิตของท่านจะหาไม่

ครั้งนั้นท้าวสักกะเนรมิตแก้วมณีให้พระโพธิสัตว์ รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์กระทำแก้วมณีนั้นให้ประจักษ์ แล้วกราบทูลแด่พระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นแก้วมณีนั้น

ตรัสถามกาฬกะ บัดนี้เราจะทำอย่างไรต่อไปกาฬกะกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เห็นจะมีเทวดาคอยเนรมิตให้สิ่งที่ปรารถนาแก่พราหมณ์ธรรมธัชเป็นแน่

คราวนี้สิ่งใดมีเทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตได้ ขอพระองค์จงรับสั่งสิ่งนั้นเถิด แม้เทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตมนุษย์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ ได้ เพราะฉะนั้น ขอพระองค์รับสั่งกะธรรมธัชว่าท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ เถิด

พระราชาตรัสเรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนอาจารย์ อุทยานสระโบกขรณีและปราสาท อันแล้วด้วยงา และแก้วมณีสำหรับส่องแสงสว่างแก่ปราสาท ท่านสร้างให้แก่เราเสร็จแล้ว บัดนี้ท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ ทำหน้าที่รักษาอุทยานแก่เราเถิด หากท่านสร้างไม่ได้ชีวิตจะไม่มี

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอจงยกไว้เป็นพนักงานเถิด เมื่อข้าพระองค์ได้ จักรู้เอง จึงกลับไปบ้านบริโภคอาหารอย่างดีแล้ว นอนตื่นขึ้นในตอนรุ่ง นั่งคิดอยู่บนหลังที่นอนว่า

ท้าวสักกะเทวราชสามารถเนรมิตแต่สิ่งที่ตนเนรมิตได้ แต่คงไม่สามารถเนรมิตคนเฝ้าอุทยานประกอบด้วยองค์ ๔ ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การตายอย่างอนาถในป่านั่นแลดีกว่าการตายในเงื้อมมือของผู้อื่น

พระโพธิสัตว์มิได้บอกเล่าแก่ใคร ๆ ลงจากเรือนออกจากพระนครทางประตูใหญ่ เข้าป่านั่งรำพึงถึงธรรมของสัตบุรุษ ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง

ท้าวสักกะทราบเหตุนั้น จึงแปลงเป็นพรานไพรเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ เมื่อจะตรัสถามความนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเป็นผู้แบบบางประหนึ่งว่าจะไม่เคยเห็นทุกข์ยากมาก่อนเลย ท่านนั่งซบเซาอยู่ผู้เดียวเหมือนคนกำพร้า

ท้าวสักกะตรัสถามว่า ท่านคิดอะไรอยู่
พระโพธิสัตว์ได้สดับดังนั้น จึงกล่าวว่า ดูก่อนสหาย นั่นเป็นความจริง เราอยู่เป็นสุขแล้ว ได้จากบ้านเมืองมาสู่ป่า เราผู้เดียวเท่านั้นนั่งที่โคนต้นไม้ในป่านี้ ย่อมซบเซาเหมือนคนกำพร้า ท่านได้ถามว่า ท่านคิดเรื่องอะไร

ข้าพเจ้าขอตอบแก่ท่าน
ก็ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นี้รำพึงถึงธรรมของสัตบุรุษผู้สงบ ผู้เป็นบัณฑิต คือพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย แท้จริงโลกธรรม ๘ประการนี้

คือ ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญสุข ทุกข์ แต่สัตบุรุษทั้งหลาย ถูกโลกธรรม ๘ นี้ กระทบย่อมไม่หวั่น ไม่ไหว ธรรมของสัตบุรุษอันได้แก่ ความไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ นี้ ข้าพเจ้านั่งระลึกถึงธรรมนี้ด้วยประการฉะนี้

ลำดับนั้นท้าวสักกะจึงตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงนั่งอยู่ที่นี่เล่า พระโพธิสัตว์ตอบว่าพระราชารับสั่งให้หาบุคคลเช่นนั้นได้

จึงคิดว่าจะมีประโยชน์อะไรด้วยความตายในเงื้อมมือของผู้อื่น เราจักเข้าป่าไปตายอย่างอนาถ จึงได้มานั่งอยู่ที่นี่

ท้าวสักกะตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์เราคือท้าวสักกะ เราเนรมิตสวนให้ท่านแล้ว แต่ไม่สามารถจะเนรมิตผู้รักษาสวนซึ่งประกอบด้วยองค์ ๔ ได้

ช่างกัลบกผู้แต่งพระศกของพระราชาท่านชื่อว่า ฉัตตปาณี เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ เมื่อมีความต้องการผู้รักษาสวน ท่านจงกราบทูลให้ทรงแต่งตั้งช่างกัลบกนั้นเป็นผู้รักษาสวนเถิด

ท้าวสักกะเทวราชประทานโอวาทแก่พระโพธิสัตว์แล้ว ทรงปลอบโยนว่า อย่ากลัวเลย แล้วเสด็จคืนสู่เทพบุรีของพระองค์ พระโพธิสัตว์ไปบ้านบริโภคอาหารแล้วไปถึงประตูพระราชวัง

พบฉัตตปาณีที่ประตูพระราชวังนั้น จับมือฉัตตปาณีแล้วถามว่า สหายฉัตตปาณีได้ข่าวว่าท่านประกอบด้วยองค์ ๔ หรือ
เมื่อฉัตตปาณีถามว่า ใครเป็นผู้บอกท่านว่า ข้าพเจ้าประกอบด้วยองค์ ๔
ตอบว่าท้าวสักกะเทวราช
ถามว่า เหตุไรจึงบอก
พระโพธิสัตว์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดว่า บอกด้วยเหตุนี้
ฉัตตปาณีกล่าวว่า ถูกแล้วข้าพเจ้าเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงจับมือฉัตตปาณีไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชฉัตตปาณีเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ เมื่อมีความต้องการผู้รักษาสวน ขอจงทรงตั้งฉัตตปาณีนี้เป็นผู้รักษาสวนเถิด พระเจ้าข้า

ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ได้ยินว่าท่านเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ หรือ กราบทูลว่าถูกแล้ว พระเจ้าข้าพระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๔ คืออะไรบ้าง ฉัตตปาณีทูลว่า :

ขอเดชะ ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ริษยา เป็นผู้ไม่ดื่มน้ำเมา เป็นผู้ไม่ติดในความรัก เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่โกรธ

ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าความริษยาไม่มีแก่ข้าพระองค์ น้ำเมาข้าพระองค์ไม่เคยดื่ม ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ไม่เคยมีในผู้อื่น ข้าพระองค์ประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้

—รออ่านอีกตอนนะคะ..ยังไม่จบ—

..ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ..