กำเนิดเศรษฐีนี หลานเมณฑกเศรษฐี

กำเนิดเศรษฐีนี หลานเมณฑกเศรษฐี

เมณฑกเศรษฐี มีลูกชายคนโตชื่อ ธนัญชัยเศรษฐี มีลูกสะใภ้ชื่อ นางสุมนาเทวี

ธนัญชัยเศรษฐีมีลูกสาวชื่อว่า นางวิสาขามหาอุบาสิกา นางได้บำเพ็ญบารมีและตั้งความปรารถนาไว้โดยย้อนหลังไป ๑๐๐,๐๐๐ กัปป์

สมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปุทุมุตตระ นางวิสาขาบังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี

ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา

เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ยินดีในการถวายทาน

จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น

นางเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป

ครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ก็ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ากาสี พระนามว่า

กิงกิ กรุงพาราณสี เป็นพระราชธิดาองค์หนึ่ง ระหว่างพระพี่น้องนาง ๗ พระองค์

คือ นางสมณี นางสมณคุตตา
นางภิกขุนี(ภิกขุณี) นางภิกขุทาสิกา
นางธัมมา(ธรรมา) นางสุธัมมา(สุธรรมา) และนางสังฆทาสี ครบ ๗

พระราชธิดาเหล่านั้น ในบัดนี้ ครั้งพุทธกาลชาติปัจจุบันคือ
พระเขมาเถรี
พระอุบลวรรณาเถรี
พระปฏาจาราเถรี
พระนางกุณฑลเกสีเถรี
พระกิสาโคตมีเถรี
พระธรรมทินนาเถรี
และนางวิสาขา ครบ ๗

บรรดาพระราชธิดาเหล่านั้น พระนางสังฆทาสีเวียนว่ายอยู่ใน เทวดาและมนุษย์ถึงพุทธันดรหนึ่ง

ปัจจุบันชาติสมัยพุทธกาล

ในพุทธกาลนี้ นางวิสาขาเป็นธิดาของนางสุมนาเทวีภริยาหลวงบิดาชื่อธนัญชัยเศรษฐี เป็นหลานของเมณฑกเศรษฐี

และนางจันทปทุมา ผู้เป็นปู่ย่า ในภัททิยนคร แคว้นอังคะ

ประมาณพรรษาที่ ๕ แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เวลานั้นนางมีอายุได้ ๗ ขวบ พระทศพลทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของเสลพราหมณ์ และเหล่าสัตว์พวกจะตรัสรู้อื่น ๆ

พระองค์พร้อมด้วยเหล่าภิกษุสงฆ์ เสด็จจาริกไปถึงนครนั้น ในแคว้นนั้น.

สมัยนั้น เมณฑกคฤหบดี เป็นหัวหน้าของเหล่าผู้มีบุญมาก ๕ คน ครองตำแหน่งเศรษฐี เหล่าผู้มีบุญมาก ๕ คน คือ

เมณฑกเศรษฐี ๑
ภริยาหลวงของเศรษฐี ชื่อจันทปทุมา ๑
บุตรชายคนโตของเศรษฐี ชื่อธนัญชัย ๑
ภริยาของธนัญชัยนั้น ชื่อสุมนเทวี ๑
ทาสของเมณฑกเศรษฐี ชื่อปุณณะ ๑.

มิใช่แต่เมณฑกเศรษฐีอย่างเดียวดอก ถึงในราชอาณาจักรของพระเจ้าพิมพิสาร ก็มีบุคคลผู้มีโภคสมบัตินับไม่ถ้วนถึง ๕ คน คือ โชติยะ ชฏิละ เมณฑกะ ปุณณะ และกากพลิยะ

บรรดาคนทั้ง ๕ นั้น เมณฑกเศรษฐีนี้ ทราบว่าพระทศพลเสด็จมาถึงนครของตน จึงเรียกเด็กหญิงวิสาขา หลานสาวซึ่งขณะนั้นนางมีอายุได้ ๗ ขวบ มาแล้วสั่งอย่างนี้ว่า

แม่หนู เป็นมงคลทั้งเจ้า ทั้งปู่ เจ้าจงพาเกวียน ๕๐๐ เล่ม พร้อมด้วยเด็กหญิง ๕๐๐ คน บริวารของเจ้ามีทาสี ๕๐๐ นาง เป็นบริวาร จงทำการรับเสด็จพระทศพล

นางฟังคำของปู่ ก็ปฏิบัติตาม
แต่เพราะนางเป็นผู้ฉลาดในเหตุและมิใช่เหตุ

นางก็ไปด้วยยานเท่าที่พื้นที่ยานจะไปได้แล้ว ก็ลงจากยานเดินไปเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง

นางวิสาขาได้โสดาปัตติผลแต่อายุ ๗ ขวบ
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดด้วยอำนาจจริยาของนาง จบเทศนา

นางก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับเด็กหญิง ๕๐๐ คน แม้เมณฑกเศรษฐี ก็เข้าไปเฝ้าถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง

พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรด ด้วยอำนาจจริยาของเศรษฐีนั้น จบเทศนา เมณฑกเศรษฐีก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล

อาราธนาพระศาสดา เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น
วันรุ่งขึ้นก็เลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยอาหารอย่างประณีตในนิเวศน์ของตน ได้ถวายมหาทานโดยลักษณะนั้นครึ่งเดือน

พระศาสดาประทับอยู่ ณ ภัททิยนครตามพุทธอัธยาศัยแล้วก็เสด็จหลีกไป

พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากได้ผู้มีบุญ

ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าปเสนทิโกศลต่างก็เป็นพระภัสดา(สามี)ของพระภคินี(น้องสาว)ของกันและกัน

ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าโกศลทรงดำริว่า

“คนมีโภคะนับไม่ถ้วน มีบุญมากทั้ง ๕ มีอยู่ในแคว้นพระเจ้าพิมพิสาร แต่ในแคว้นของเรา ผู้มีบุญเช่นนั้น แม้เพียงคนเดียวก็ไม่มี

อย่ากระนั้นเลย เราพึงไปสู่สำนักของพระเจ้าพิมพิสารขอผู้มีบุญมากสักคนหนึ่ง.”

พระองค์จึงเสด็จไปภัททิยนคร แคว้นอังคะ ครั้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทำปฏิสันถารทูลถามว่า

“พระองค์เสด็จมา เพราะเหตุไร?”

พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงตรัสว่า

“หม่อมฉันมา ด้วยประสงค์ว่า คนมีโภคะนับไม่ถ้วน มีบุญมากทั้ง๕ คน อยู่ในแคว้นของพระองค์ หม่อมฉันจักพาเอาคนหนึ่งจาก ๕ คนนั้นไป ขอพระองค์จงประทานคนหนึ่งใน ๕ คนนั้น แก่หม่อมฉันเถิด.”

พิมพิสาร หม่อมฉันไม่อาจจะให้ตระกูลใหญ่ ๆ ย้ายได้.
ปเสนทิโกศล หม่อมฉันไม่ได้ ก็จักไม่ไป.

มอบธนัญชัยเศรษฐีให้พระเจ้าโกศล

พระเจ้าพิมพิสารทรงปรึกษากับพวกอำมาตย์แล้วตรัสว่า

“ชื่อว่าการย้ายตระกูลใหญ่ ๆ มีโชติยสกุลเป็นต้น เช่นกับแผ่นดินไหว แต่บุตรของเมณฑกเศรษฐีชื่อธนัญชัยเศรษฐี มีอยู่

หม่อมฉันปรึกษากับเธอเสร็จแล้ว จักถวายคำตอบแด่พระองค์” ดังนี้แล้ว รับสั่งให้เรียกธนัญชัยเศรษฐีมาแล้ว ตรัสว่า

“พ่อ พระเจ้าโกศลตรัสว่า จักพาเอาเศรษฐีมีทรัพย์คนหนึ่งไป เธอจงไปกับพระองค์เถิด.”

ธนัญชัยเศรษฐีทูลตอบว่า เมื่อพระองค์มีพระราชประสงค์ ข้าพระองค์ก็จักไป พระเจ้าข้า.

พระเจ้าพิมพิสาร ถ้าเช่นนั้น เธอจงทำการตระเตรียมไปเถิด พ่อ.

ธนัญชัยเศรษฐีนั้น จึงได้ทำกิจจำเป็นที่ควรทำของตนแล้ว

ฝ่ายพระราชาทรงทำสักการะใหญ่แก่เขา ทรงส่งพระเจ้าปเสนทิโกศลไปด้วยพระดำรัสว่า

“ขอพระองค์จงพาเศรษฐีนี้ไปเถิด.”

ท้าวเธอพาธนัญชัยเศรษฐีนั้นเสด็จไปโดยการประทับแรมราตรีหนึ่งในที่นี้ทั้งปวง บรรลุถึงสถานอันผาสุกแห่งหนึ่งแล้ว ก็ทรงหยุดพัก.

การสร้างเมืองสาเกต

ครั้งนั้น ธนัญชัยเศรษฐี ทูลถามท้าวเธอว่า

“บริเวณนี้เป็นแคว้นของใคร พระเจ้าข้า?”

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตอบว่า
เป็นของเรา ท่านเศรษฐี.

ธนัญชัยเศรษฐีถามว่า จากที่นี้ไปถึงเมืองสาวัตถี ไกลเท่าไร พระเจ้าข้า

พระเจ้าปเสนทิโกศลตอบว่า ไปอีก ๗ โยชน์.

ธนัญชัยเศรษฐีทูลว่า ภายในพระนครคับแคบ ชนบริวารของข้าพระองค์มีอยู่มาก ถ้าพระองค์ทรงโปรดไซร้ ข้าพระองค์พึงอยู่ที่นี้แหละ พระเจ้าข้า.

พระราชาทรงรับว่า “ดีละ” ดังนี้แล้ว ให้สร้างเมืองในที่นั้น ได้พระราชทานแก่เศรษฐีนั้นแล้วเสด็จกลับไป เมืองนั้นได้นามว่า

“สาเกต” เพราะความที่ประเทศนั้นเศรษฐีจับจองแล้วในเวลาเย็น.

ในกรุงสาวัตถี บุตรของมิคารเศรษฐี ชื่อปุณณวัฒนกุมารเจริญวัยแล้ว ขณะนั้น

บิดาของเขารู้ว่า บุตรของเราเจริญวัยแล้ว เป็นสมัยที่จะผูกพันด้วยการครองเรือน ครั้งนั้น มารดาบิดากล่าวกะเขาว่า

“พ่อ เจ้าจงเลือกเด็กหญิงคนหนึ่งในที่เป็นที่ชอบใจของเจ้า.”

ปุณณะ กิจด้วยภริยาเห็นปานนั้น ของผมไม่มี.

มารดาบิดา เจ้าอย่าทำอย่างนี้ ลูก ธรรมดาตระกูลที่ไม่มีบุตรตั้งอยู่ไม่ได้.

ลักษณะเบญจกัลยาณี

ปุณณวัฒนกุมารนั้นเมื่อถูกมารดาบิดาพูดรบเร้าอยู่ จึงกล่าวว่า

“ถ้ากระนั้น ผมเมื่อได้หญิงสาวประกอบพร้อมด้วยความงาม ๕ อย่าง ก็จักทำตามคำของคุณพ่อคุณแม่.”

มารดาบิดาถามว่า ก็ชื่อว่าความงาม ๕ อย่างนั้น มีอะไรบ้างเล่า? พ่อ.

ปุณณวัฒนกุมารตอบว่า คือ ผมงาม เนื้องาม กระดูกงาม ผิวงาม วัยงาม.

ก็ผมของหญิงผู้มีบุญมาก เป็นเช่นกับทำหางนกยูง แก้ปล่อยระชายผ้านุ่งแล้ว ก็กลับมีปลายงอนขึ้นตั้งอยู่ นี้ชื่อว่า ผมงาม

ริมฝีปากเช่นกับผลตำลึง (สุก) ถึงพร้อมด้วยสีเรียบชิดสนิทดี นี้ชื่อว่า เนื้องาม.

ฟันขาวเรียบไม่ห่างกัน งดงามดุจระเบียบแห่งเพชร ที่เขายกขึ้นตั้งไว้และดุจระเบียบแห่งสังข์ที่เขาขัดสีแล้ว นี้ชื่อว่ากระดูกงาม

ผิวพรรณของหญิงดำไม่ลูบไล้ด้วยเครื่องประเทืองผิวเป็นต้นเลย ก็ดำสนิทประหนึ่งพวกอุบลเขียว ของหญิงขาว ประหนึ่งพวกดอกกรรณิการ์ นี้ชื่อว่า ผิวงาม

หญิงที่แม้คลอดบุตรแล้วตั้ง ๑๐ ครั้ง ก็ยังดูงามเหมือนเพิ่งมีบุตรเพียงคนเดียวยังสาวพริ้งอยู่เทียว นี้ชื่อว่า วัยงาม ดังนี้แล.

เศรษฐีส่งพราหมณ์ไปแสวงหาหญิงเบญจกัลยาณี
ครั้งนั้น มารดาบิดาของนายปุณณวัฒนกุมารนั้น เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาให้บริโภคแล้วถามว่า

“ชื่อว่าหญิงที่ต้องด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี มีอยู่หรือ”
พราหมณ์เหล่านั้น ตอบว่า
“จ้ะ มีอยู่.”
เศรษฐีกล่าวว่า

“ถ้ากระนั้น พวกท่าน ๘ คนจงไปแสวงหาเด็กหญิงเช่นนั้น มาให้เรา”
ดังนี้แล้ว ให้ทรัพย์เป็นอันมาก พร้อมกับสั่งว่า

“ในเวลาที่พวกท่านกลับมาพร้อมกับหญิงเช่นนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจักรู้สิ่งที่ควรทำแก่พวกท่าน ท่านทั้งหลายไปเถิด 

แสวงหาเด็กหญิงแม้เห็นปานนั้น และในเวลาที่พบแล้ว พึงประดับพวงมาลัยทองคำนี้”

ดังนี้แล้ว ให้พวงมาลัยทองคำอันมีราคาแสนหนึ่ง แล้วส่งพวกพราหมณ์นั้นไป

พราหมณ์เหล่านั้น ไปยังนครใหญ่ ๆ แสวงหาอยู่ ก็ไม่พบเด็กหญิงที่ต้องด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี

จึงกลับมาถึงเมืองสาเกตโดยลำดับ
ในวันนั้นเมืองสาเกตมีงานนักขัตฤกษ์เปิด

(หมายเหตุ นักษัตรเปิดเผย เป็นงานประจำปีของนครสาเกต ในงานนี้ชาวเมืองทุกคนเผยร่างโดยปราศจากผ้าคลุมปิดหน้า เดินเท้าไปยังแม่น้ำ)

พอดีจึงคิดกันว่า
“การงานของพวกเราคงสำเร็จในวันนี้เป็นแน่”

งานประจำปีของนครสาเกต

ก็ในนครนั้น ชื่อว่างานนักขัตฤกษ์ย่อมมีประจำปี ในกาลนั้นแม้ตระกูลที่ไม่ออกภายนอก ก็ออกจากเรือนกับบริวาร

มีร่างกายมิได้ปกปิด ไปสู่ฝั่งแม่น้ำด้วยเท้าเทียว ในวันนั้นถึงบุตรหลานของตระกูลขัตติยมหาศาลทั้งหลายเป็นต้น

ก็ยืนแอบหนทางนั้น ๆ ด้วยตั้งใจว่า เมื่อพบเด็กหญิงตระกูลที่ตนพึงใจ มีชาติเสมอด้วยตนแล้วจะคล้องด้วยพวงมาลัย

พราหมณ์พบนางวิสาขา

พราหมณ์เหล่านั้น เข้าไปถึงศาลาแห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำแล้วได้ยืนอยู่ ขณะนั้นนางวิสาขา มีอายุย่างเข้า ๑๕–๑๖ ปี

ประดับประดาด้วยเครื่องอาภรณ์ครบทุกอย่าง มีเหล่ากุมารี ๕๐๐ คนแวดล้อมกำลังมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำเพื่ออาบน้ำ

ครั้งนั้นแล เมฆตั้งขึ้นแล้วฝนก็ตกลงมา เด็กหญิง ๕๐๐ ก็รีบเดินเข้าไปสู่ศาลา

พวกพราหมณ์พิจารณาดูอยู่ ก็ไม่เห็นเด็กหญิงเหล่านั้นแม้สักคนเดียวที่ต้องด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี

ส่วนนางวิสาขาเข้าไปยังศาลาด้วยการเดินตามปกตินั่นเอง ผ้าและอาภรณ์เปียกโชก

พวกพราหมณ์เห็นความงาม ๔ อย่างของนางแล้ว ประสงค์จะเห็นฟัน จึงกล่าวกะกันและกันว่า

“หญิงผู้เฉื่อยชานี้ สามีของหล่อนเห็นทีจักไม่ได้ แม้เพียงข้าวปลายเกวียน”

นางวิสาขาได้ยินดังนั้นจึงพูดกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า
“พวกท่านว่าใครกัน.”
พราหมณ์ : ว่าเธอ แม่.
ได้ยินว่า เสียงอันไพเราะของนาง เปล่งออกประหนึ่งเสียงกังสดาล ลำดับนั้น นางจึงถามพราหมณ์เหล่านั้นด้วยเสียงอันไพเราะอีกว่า

“เพราะเหตุไร จึงว่าฉัน.”

พราหมณ์ : หญิงบริวารของเธอ ไม่ให้ผ้าและเครื่องประดับเปียกรีบเข้าสู่ศาลา กิจแม้เพียงการรีบมาสู่ที่ประมาณเท่านี้ของเธอก็มิได้มี

เธอปล่อยให้ผ้าและเครื่องอาภรณ์เปียกมากแล้ว เพราะฉะนั้น พวกเราจึงพากันว่าดังนั้น.

วิสาขา : พ่อทั้งหลาย พวกท่านอย่าพูดอย่างนี้ ฉันแข็งแรงกว่าเด็กหญิงเหล่านั้น
แต่ฉันกำหนดเหตุการณ์แล้ว จึงไม่มาโดยเร็ว.
พราหมณ์ : เหตุอะไรแม่.

ชน ๔ จำพวกวิ่งไปไม่งาม

วิสาขา : พ่อทั้งหลาย ชน ๔ จำพวก
เมื่อวิ่ง ย่อมไม่งาม เหตุอันหนึ่ง แม้อื่นอีก
ยังมีอยู่.
พราหมณ์ : ชน ๔ จำพวก เหล่าไหน? เมื่อวิ่ง ย่อมไม่งาม แม่

วิสาขา : พ่อทั้งหลาย พระราชาผู้อภิเษกแล้ว ทรงประดับประดาแล้วด้วยเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง เมื่อถกเขมรวิ่งไปในพระลานหลวงย่อมไม่งาม

ย่อมได้ความครหาเป็นแน่นอนว่า ทำไม พระราชาองค์นี้จึงวิ่งเหมือนคฤหบดี ค่อย ๆ เสด็จไปนั่นแหละ จึงจะงาม

แม้ช้างมงคลของพระราชา ประดับแล้ว วิ่งไป ก็ไม่งาม ต่อเมื่อเดินไปด้วยลีลาแห่งช้าง จึงจะงาม


รออ่านตอนต่อไปนะคะ

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ