กำเนิดนางมาคัณฑิยา

กำเนิดนางมาคัณฑิยา
พระศาสดาทรงพระดำริว่า จักเสด็จไปกรุงโกสัมพี มีภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกจาริก ทรงเห็นอุปนิสัย
ของมาคัณฑิยพราหมณ์ ในระหว่างทาง

จึงงดการเสด็จไปกรุงโกสัมพี เสด็จไปยังนิคม ชื่อว่ากัมมาสธัมมะ แคว้นกุรุ

สมัยนั้น มาคัณฑิยพราหมณ์ บำเรอไฟอยู่นอกบ้านตลอดคืนยังรุ่ง เช้าตรู่จึงเข้ามาบ้าน วันรุ่งขึ้น

แม้พระศาสดา ก็เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน เดินสวนทางกัน แสดงพระองค์แก่มาคัณฑิยพราหมณ์

มาคัณฑิยพราหมณ์นั้น เห็นพระทศพล ก็คิดว่า เราเที่ยวแสวงหาเด็กหนุ่ม ที่ทัดเทียมกันกับรูปสมบัติแห่งธิดา ของเรา ตลอดเวลาเท่านี้ เมื่อรูปสมบัติแม้มีอยู่

เราก็ปรารถนาการบรรพชาที่ผู้นี้ถืออยู่เช่นนี้เหมือนกัน แต่บรรพชิตผู้นี้ งามน่าชม ช่างเหมาะสมกับธิดาของเราจริง ๆ จึงรีบกลับไปเรือน

นัยว่า พราหมณ์นั้นเป็นวงศ์บรรพชิตวงศ์หนึ่งมาก่อน ด้วยเหตุนั้น พอเห็นบรรพชิตเท่านั้น จิตใจของเขาจึงน้อมไป

พราหมณ์ปรึกษากะนางพราหมณีว่า
น้องเอ๋ย ฉันปรารถนาการบรรพชาอย่างนี้ ฉันไม่เคยพบบรรพชิตเห็นปานนี้ เป็นเพศพราหมณ์มีผิวพรรณดั่งทอง

ช่างเหมาะสมกับธิดาแท้ ๆ จงรีบแต่งตัวธิดาของเจ้าสิเมื่อนางพราหมณีกำลังแต่งตัวธิดาอยู่

พระศาสดาก็ทรงแสดงพระเจดีย์คือรอยพระบาทไว้ในที่ที่เขาพบพระองค์ แล้วเสด็จเข้าไปภายในพระนคร

ขณะนั้น พราหมณ์พาธิดาพร้อมกับนางพราหมณี มายังที่นั้น ตรวจดูรอบ ๆ เพราะเขามาเวลาที่พระศาสดาเสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน ไม่เห็นพระทศพล

ก็บริภาษนางพราหมณีว่า การกระทำของเจ้านี้ ชื่อว่าดีไม่มีเลย เพราะเจ้ามัวทำชักช้าอยู่ บรรพชิตผู้นั้นจึงออกไปเสีย

พราหมณ์ตรวจดูที่พระศาสดาเสด็จไปว่า บรรพชิตไปแล้ว ช่างก่อนเถิดไปทางทิศไหนหรือไปทางทิศนี้

ก็พบเจดีย์คือรอยพระบาท กล่าวว่า แม่มหาจำเริญ นี้รอยเท้าบุรุษนั้น เขาคงจักไปทางนี้

ขณะนั้น นางพราหมณีเห็นเจดีย์คือรอยพระบาทของพระศาสดา คิดว่า ตาพราหมณ์ ผู้นี้ช่างโง่จริงหนอ

ไม่รู้ความหมายแม้เพียงคัมภีร์ของตน จึงทำการเย้ยหยัน

พูดกับพราหมณ์นั้นว่า

ท่านพราหมณ์ ท่านโง่เพียงนี้แล้ว ยังจะมาพูดว่า เราจะให้ธิดาแก่บุรุษผู้เห็นปานนั้น ด้วยว่า ธรรมดา

รอยเท้าของบุรุษผู้ที่ราคะย้อมแล้ว โทสะประทุษร้ายแล้ว โมหะให้ลุ่มหลง แล้วจะไม่เป็นเช่นนั้น ดูสิพราหมณ์

นั่นเป็นรอยเท้าของพระสัพพัญญู พุทธะ ผู้มีหลังคาเปิดแล้วในโลก.

เมื่อนางพราหมณีพูดเพียงนั้น พราหมณ์นั้นก็ไม่ฟังคำ กลับหาว่า เป็นหญิงปากร้ายเสียซ้ำไป เมื่อสองสามีภริยาพูดทุ่มเถียงกันอยู่นั่นแล

พระศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต พร้อมกับภิกษุสงฆ์ เสวยเสร็จแล้วจึงเสด็จออกไปใกล้ทางที่พราหมณ์แลเห็นได้

พราหมณ์แลเห็นพระศาสดาเสด็จมาแต่ไกล ก็บอกนางพราหมณี ร่าเริงยิ้มแย้มพูดว่า ผู้นี้ คือบุรุษผู้นั้น จึงยืนตรงพระพักตร์ทูลว่า

ท่านบรรพชิตผู้เจริญ ข้าพเจ้าเที่ยวหาท่านตั้งแต่เช้า ในชมพูทวีปนี้ ไม่มีสตรีผู้ใดมีรูปงามเสมอกับธิดาของข้าพเจ้า

แม้บุรุษก็ไม่มีผู้ใดมีรูปงามเสมอกับท่าน ข้าพเจ้าจะยกธิดาของข้าพเจ้าให้ท่าน
ท่านจะได้เลี้ยงดู ท่านรับนางไปเถิด

ครั้งนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะพราหมณ์นั้นว่า พราหมณ์ แม้แต่เหล่าเทพธิดาอยู่ ในสวรรค์ชั้นกามาวจร มีรูปเลอเลิศ มีผิวพรรณต่าง ๆ กัน

มายืนในสำนักกล่าวถ้อยคำเพื่อประเล้าประโลมเรา เรายังไม่ปรารถนา จะป่วยกล่าวไปไยถึงธิดาของท่านว่าเราจะรับ

ครั้นตรัสแล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

เพราะเห็นนางตัณหา นางอรดี นางราคะ แม้
ความพอใจในเมถุน ก็ไม่มีเลย สรีระนี้ เต็มไปด้วยอุจจาระปัสสาวะทั้งนั้นหนอ แม้แต่เท้า เราก็ไม่ปรารถนาจะแตะต้องนาง.

นางมาคัณฑิยาผูกอาฆาตพระศาสดา

นางมาคัณฑิยาคิดว่า ธรรมดาคนที่ไม่ต้องการ เพียงแค่พูดปฏิเสธว่า อย่าเลย เท่านี้ก็ควร แต่บรรพชิตผู้นี้

ทำสรีระของเราให้เป็นที่เต็มไปด้วย อุจจาระปัสสาวะ แล้วยังพูดว่า แม้แต่เท้า ก็ไม่ปรารถนาจะแตะต้อง.

เราเมื่อได้ตำแหน่งยิ่งใหญ่ตำแหน่งหนึ่ง จักดูจุดจบของบรรพชิตนั้น แล้วผูกอาฆาตไว้

พระศาสดามิได้ทรงใส่พระทัยนาง ทรงเริ่มพระธรรมเทศนา โปรดพราหมณ์ ด้วยอำนาจจริยาของเขา จบเทศนา สองสามีภริยา ก็ดำรงอยู่ในอนาคามิผล

แล้วดำริว่า บัดนี้เราไม่ต้องการครองเรือนแล้ว จึงให้มาคัณฑิยพราหมณ์ผู้เป็นอารับธิดาไว้ ทั้งสองคนก็บวชแล้วบรรลุพระอรหันต์

ครั้งนั้น พระเจ้าอุเทนได้ทรงทำการพูดจาตกลงกับมาคัณฑิย พราหมณ์ผู้เป็นอา แล้วทรงนำเด็กสาวมาคัณฑิยา

มายังพระราชนิเวศน์ ด้วยพระราชานุภาพ ทรงอภิเษกพระราชทานปราสาทต่างหาก เพื่อพระ นางมาคัณฑิยากับบริวารสตรี ๕๐๐ ได้อยู่.

ฝ่ายพระศาสดาเสด็จจาริกโดยลำดับ มาถึงกรุงโกสัมพี พวกเศรษฐี ๓ คน รู้ว่าพระศาสดาเสด็จมา จึงออกไปรับเสด็จ ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นั่ง

ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิหารทั้ง ๓ นี้

ข้าพระองค์ สร้างเจาะจงพระองค์ ขอได้โปรดทรงรับวิหารทั้งหลาย เพื่อสงเคราะห์สงฆ์ที่จาริกมาแต่ทิศทั้ง ๔ เถิด พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับวิหารไว้ แม้เศรษฐีเหล่านั้น ก็อาราธนาพระศาสดาเพื่อเสวยอาหาร ในวันรุ่งขึ้น ถวายบังคมแล้วก็กลับบ้าน

พระนางมาคัณฑิยาจ้างนักเลงมา

ฝ่ายพระนางมาคัณฑิยา ทรงทราบว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงให้เรียกเหล่านักเลงหัวไม้มาแล้วให้สินจ้างแก่นักเลงเหล่านั้น ตรัสว่า

“พวกเจ้าพร้อมด้วยพวกผู้ชายที่เป็นทาสและกรรมกร จงด่า บริภาษ พระสมณโคดมผู้เข้าไปสู่ภายในพระนครเที่ยวอยู่ ให้หนีไป“

พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในรัตนะ ๓ ก็ติดตามพระศาสดาผู้เสด็จไปสู่ภายในพระนคร ด่าอยู่ บริภาษอยู่ ด้วยวัตถุสำหรับด่า ๑๐ อย่างเช่นว่า

๑ “ เจ้าเป็นโจร ๒ เจ้าเป็นพาล ๓ เจ้าเป็นบ้า ๔.เจ้าเป็นอูฐ ๕ เจ้าเป็นวัว ๖ เจ้าเป็นลา ๗ เจ้าเป็นสัตว์นรก ๘ เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ๙ สุคติของเจ้าไม่มี ๑๐ เจ้าหวังได้ทุคติอย่างเดียว “

ท่านพระอานนท์ฟังคำนั้นแล้ว ได้กราบทูลต่อพระศาสดาว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชาวเมืองเหล่านี้ ย่อมด่า ย่อมบริภาษพวกเรา พวกเราจะไปในที่อื่นจากที่นี้ “

พระศาสดาตรัสถามว่า

“ เราจะไปที่ไหน ? อานนท์ “
พระอานนท์กราบทูลว่า

“ ไปเมืองอื่น พระเจ้าข้า “

พระศาสดา : เมื่อพวกมนุษย์ในเมืองนั้นด่าอยู่ เราจักไปในที่ไหนกันอีกเล่า ? อานนท์.

พระอานนท์ : ไปสู่เมืองอื่น แม้จากเมืองนั้น พระเจ้าข้า.

พระศาสดา : เมื่อพวกมนุษย์ในเมืองนั้นด่าอยู่ เราจักไปในที่ไหนกันเล่า ?

พระอานนท์ : ไปเมืองอื่นจากเมืองนั้น พระเจ้าข้า.

พระศาสดา : อานนท์ การทำอย่างนี้ไม่ควร อธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด เมื่ออธิกรณ์นั้นสงบระงับแล้วในที่นั้นแล จึงควรไปในที่อื่น;อานนท์ ก็พวกเหล่านั้น ใครเล่า ? ด่า.

พระอานนท์ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกเหล่านั้นทุกคนจนกระทั่งพวกทาสและกรรมกร ด่า.

พระศาสดา ตรัสว่า

“ อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างตัวก้าวลงสู่สงคราม ก็การอดทนลูกศรอันมาจาก ๔ ทิศ ย่อมเป็นภาระของช้างซึ่งก้าวลงสู่สงครามฉันใด
ชื่อว่าการอดทนต่อถ้อยคำอันคนทุศีลเป็นอันมากกล่าวแล้ว ก็เป็นภาระของเราฉันนั้นเหมือนกัน “

พระศาสดาครั้นทรงแสดงธรรมอย่างนั้นแล้ว ตรัสว่า

“ อานนท์ เธออย่าคิดไปเลย พวกเหล่านั้นจักด่าได้เพียง ๗ วันเท่านั้น ในวันที่ ๗ จักเป็นผู้นิ่ง;เพราะว่า อธิกรณ์ซึ่งเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่เกิน ๗ วันไป “

รออ่านตอนต่อไปนะคะ


คนพาลมีปรกติเบียดเบียนผู้อื่นด้วยความโกรธ
ความโกรธคือมหาวิบัติในใจของผู้โกรธให้เร่าร้อน

ดร.แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ