อาสีวิโสปมสูตร
ว่าด้วยอุปมาด้วยอสรพิษ
[๒๓๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนอสรพิษ ๔ จำพวก๑ ซึ่งมีเดชมากมีพิษกล้าถ้าบุรุษอยากมีชีวิตอยู่ไม่อยากตายรักสุข เกลียดทุกข์เดินมา คนทั้งหลายพึงบอกเขาอย่างนี้ว่า
‘พ่อมหาจำเริญอสรพิษ๔ จำพวกนี้ ซึ่งมีเดชมากมีพิษกล้าท่านพึงปลุกให้ลุกตามเวลาให้อาบน้ำตามเวลา
ให้กินอาหารตามเวลา ให้เข้าที่อยู่ตามเวลา
เวลาใดอสรพิษซึ่งมีเดชมาก มีพิษกล้า ๔ จำพวกนี้ตัวใดตัวหนึ่งก็ตามโกรธเวลานั้นท่านก็จะถึงความตาย
หรือถึงทุกข์ปางตายพ่อมหาจำเริญกิจใดที่ท่านควรทำ ท่านจงทำกิจนั้นเถิด’
ขณะนั้นบุรุษนั้นกลัวอสรพิษซึ่งมีเดชมากมีพิษกล้า ๔ จำพวกนั้นจึงหนีไปทางใดทางหนึ่งคนทั้งหลายพึงบอกเขาอย่างนี้ว่า
‘พ่อมหาจำเริญนักฆ่าซึ่งเป็นศัตรู๕ จำพวกติดตามมาข้างหลังท่าน โดยหมายใจว่า‘พบท่านในที่ใดก็จะฆ่าท่านในที่นั้นแล’พ่อมหาจำเริญกิจใดที่ท่านควรทำ ท่านจงทำสิ่งนั้นเถิด’
ขณะนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษซึ่งมีเดชมาก มีพิษกล้า ๔ จำพวกนั้น และกลัวนักฆ่าซึ่งเป็นศัตรู ๕ จำพวก
จึงหนีไปทางใดทางหนึ่ง คนทั้งหลายพึงบอกเขาอย่างนี้ว่า ‘พ่อมหาจำเริญ นักฆ่าผู้เป็นสายลับจำพวกที่ ๖ นี้เงื้อดาบติดตามมาข้างหลังท่านโดยหมายใจว่า ‘พบท่านในที่ใด ก็จะตัดศีรษะท่านในที่นั้นแล’ พ่อมหาจำเริญ กิจใดที่ท่านควรทำ ท่านจงทำกิจนั้นเถิด’
ขณะนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษซึ่งมีเดชมาก มีพิษกล้า ๔ จำพวก กลัวนักฆ่าซึ่งเป็นศัตรู ๕ จำพวก
และกลัวนักฆ่าผู้เป็นสายลับจำพวกที่ ๖ ซึ่งเงื้อดาบติดตามไป จึงหนีไปทางใดทางหนึ่ง เขาพบหมู่บ้านร้าง จึงเข้าไปสู่เรือนว่างเปล่าหลังหนึ่ง ลูบคลำภาชนะว่างเปล่าชนิดหนึ่ง
คนทั้งหลายพึงบอกเขาว่า ‘พ่อมหาจำเริญ พวกโจรผู้ฆ่าชาวบ้านเพิ่งเข้ามาสู่หมู่บ้านร้างนี้เดี๋ยวนี้เอง กิจใดที่ท่านควรทำ ท่านจงทำกิจนั้นเถิด’
ขณะนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษซึ่งมีเดชมาก มีพิษกล้า ๔ จำพวก กลัวนักฆ่าซึ่งเป็นศัตรู ๕ จำพวก กลัวนักฆ่าผู้เป็นสายลับจำพวกที่ ๖ ซึ่งเงื้อดาบติดตามไป และกลัวโจรผู้ฆ่าชาวบ้าน
จึงหนีไปทางใดทางหนึ่ง เขาพบห้วงน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งฝั่งนี้น่าระแวง มีภัยจำเพาะหน้า แต่ฝั่งโน้นปลอดภัย ไม่มีภัยจำเพาะหน้า เขาไม่มีเรือหรือสะพานที่จะข้ามไปฝั่งโน้น
ขณะนั้น บุรุษนั้นคิดอย่างนี้ว่า ‘ห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งนี้น่าระแวง มีภัยจำเพาะหน้า ฝั่งโน้นปลอดภัย ไม่มีภัยจำเพาะหน้า เรานั้นไม่มีเรือหรือสะพานที่จะข้ามไปฝั่งโน้น ทางที่ดี เราควรรวบรวมหญ้า ไม้ กิ่ง และใบมาผูกเป็นแพ อาศัยแพนั้นใช้มือและเท้าพยายามไปถึงฝั่งโน้นโดยสวัสดี’
ครั้นบุรุษนั้นรวบรวมหญ้า ไม้ กิ่ง และใบมาผูกเป็นแพแล้ว อาศัยแพนั้นใช้มือและเท้าพยายามไปจน ถึงฝั่งโน้นโดยสวัสดี เป็นผู้ลอยบาปดำรงอยู่บนบก
ภิกษุทั้งหลาย อุปมานี้เรายกมาเพื่อให้เข้าใจเนื้อความแจ่มชัด ในอุปมานั้นมีอธิบายดังนี้ว่า
คำว่า อสรพิษซึ่งมีเดชมาก มีพิษกล้า ๔ จำพวก นั้นเป็นชื่อมหาภูตรูป
๑. ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน)
๒. อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ)
๓. เตโชธาตุ (ธาตุไฟ)
๔. วาโยธาตุ (ธาตุลม)
คำว่า นักฆ่าซึ่งเป็นศัตรู ๕ จำพวก นั้น เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่
๑. รูปูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือรูป)
๒. เวทนูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือเวทนา)
๓. สัญญูปาทานขันธ์ (อุปทานขันธ์คือสัญญา)
๔. สังขารูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือสังขาร)
๕. วิญญาณูปาทานขันธ์ (อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ)
คำว่า นักฆ่าผู้เป็นสายลับจำพวกที่ ๖ ซึ่งเงื้อดาบติดตามไป นั้นเป็นชื่อของนันทิราคะ
(ความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดี)
คำว่า หมู่บ้านร้าง นั้นเป็นชื่อของอายตนะภายใน ๖ ประการ
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้บัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญาพิจารณาอายตนะภายใน ๖ประการนั้นทางตา ก็จะปรากฏเป็นของว่างทั้งนั้น ปรากฏเป็นของเปล่าทั้งนั้นปรากฏเป็นของสูญทั้งนั้น
ถ้าแม้บัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญาพิจารณาอายตนะภายใน ๖ ประการนั้นทางหูก็จะปรากฏเป็นของว่างทั้งนั้น ปรากฏเป็นของเปล่าทั้งนั้น ปรากฏเป็นของสูญทั้งนั้น
ถ้าแม้บัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญาพิจารณาอายตนะภายใน ๖ ประการนั้นทางจมูกก็จะปรากฏเป็นของว่างทั้งนั้น ปรากฏเป็นของเปล่าทั้งนั้น ปรากฏเป็นของสูญทั้งนั้น
ถ้าแม้บัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญาพิจารณาอายตนะภายใน ๖ ประการนั้นทางลิ้นฯลฯ
ถ้าแม้บัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญาพิจารณาอายตนะภายใน ๖ ประการนั้นทางกาย ฯลฯ
ถ้าแม้บัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญาพิจารณาอายตนะภายใน ๖ ประการนั้นทางใจก็จะปรากฏเป็นของว่างทั้งนั้น ปรากฏเป็นของเปล่าทั้งนั้น ปรากฏเป็นของสูญทั้งนั้น
คำว่า พวกโจรผู้ฆ่าชาวบ้าน นั้นเป็นชื่อของอายตนะภายนอก ๖ ประการ
ภิกษุทั้งหลาย ตาย่อมเดือดร้อนเพราะรูปที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ หู ฯลฯจมูก ฯลฯ ลิ้นย่อมเดือดร้อนเพราะรสที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ กาย ฯลฯ ใจย่อมเดือดร้อนเพราะธรรมารมณ์ที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ
คำว่าห้วงน้ำใหญ่นั้นเป็นชื่อของโอฆะ (ห้วงน้ำ)ทั้ง ๔ คือ
๑. กาโมฆะ (โอฆะคือกาม)
๒. ภโวฆะ (โอฆะคือภพ)
๓. ทิฏโฐฆะ (โอฆะคือทิฏฐิ)
๔. อวิชโชฆะ (โอฆะคืออวิชชา)
คำว่า ฝั่งนี้น่าระแวง มีภัยจำเพาะหน้า
นั้นเป็นชื่อของสักกายะ (กายของตน)
คำว่า ฝั่งโน้นปลอดภัย ไม่มีภัยจำเพาะหน้า นั้นเป็นชื่อของนิพพาน
คำว่า แพ นั้นเป็นชื่อของอริยมรรคมีองค์๘ คือ
๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ)
ฯลฯ
๘. สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ)
คำว่า ใช้มือและเท้าพยายามไป นั้นเป็นชื่อของวิริยารัมภะ (ปรารภความเพียร)
ภิกษุทั้งหลาย คำว่า เป็นผู้ลอยบาปข้ามถึงฝั่งดำรงอยู่บนบก นั้นเป็นชื่อของพระอรหันต์”
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๑๘ ข้อ ๒๓๘ หน้า ๒๓๖
———————-
ไม่ต้องสู้กับใครตลอดชาติ..
เพียรสู้กับใจตนให้ชนะ..
ชนะใจตนเองได้..ชนะ..สิ่งทั้งปวง
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ