พระเทวทัต: เรื่องราวแห่งการแยกจากพระธรรมและผลแห่งลาภสักการะ

พระเทวทัตทูลขอปกครองสงฆ์ 
 [๓๖๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคอันบริษัทหมู่ใหญ่ แวดล้อม แล้ว ประทับ 
นั่งแสดงธรรมแก่บริษัทพร้อมทั้งพระราชาครั้งนั้น พระเทวทัตลุกจาก อาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า 
นั่งกระหย่งประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้ว กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ พระผู้มี 
พระภาคทรงพระชราแล้ว เป็นผู้เฒ่า แก่หง่อมแล้ว ล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว บัดนี้ ขอพระองค์ 
จงทรงขวนขวายน้อย ประกอบทิฏฐธรรมสุขวิหารอยู่เถิด ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า 
ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองภิกษุสงฆ์ 
 พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าเลย เทวทัต เธออย่าพอใจที่จะปกครอง ภิกษุสงฆ์เลย 
 แม้ครั้งที่สอง … 
 แม้ครั้งที่สาม พระเทวทัตก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ พระผู้มี 
พระภาคทรงพระชราแล้ว เป็นผู้เฒ่า แก่หง่อมแล้ว ล่วงกาลผ่าน วัยไปแล้ว บัดนี้ ขอพระผู้มี 
พระภาคจงทรงขวนขวายน้อย ประกอบทิฏฐธรรม สุขวิหารอยู่เถิด ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระ 
พุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครอง ภิกษุสงฆ์ 
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเทวทัต แม้แต่สารีบุตรและโมคคัลลานะ เรายังไม่มอบภิกษุ 
สงฆ์ให้ ไฉนจะพึงมอบให้เธอผู้ เช่นทรากศพ ผู้บริโภคปัจจัย เช่นก้อนเขฬะเล่า 
 ทีนั้น พระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงรุกรานเรากลางบริษัทพร้อม ด้วยพระราชา 
ด้วยวาทะว่าบริโภคปัจจัยดุจก้อนเขฬะ ทรงยกย่องแต่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ดังนี้ 
จึงโกรธ น้อยใจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำ ประทักษิณแล้วกลับไป
นี่แหละ พระเทวทัตได้ผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาค เป็นครั้งแรก ฯ

พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๗ ข้อ ๓๕๘ หน้า ๑๑๓

เทวทัตตสูตรที่ ๘ จบ

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ข้อ ๖๘ หน้า ๑๑๒เรื่องพระเทวทัต 
 [๓๕๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี ตามพุทธา ภิรมย์ แล้วเสด็จ 
จาริกไปทางกรุงราชคฤห์ เสด็จจาริกไปโดยลำดับถึงกรุงราชคฤห์ แล้ว ทราบว่า พระองค์ประทับ 
อยู่ที่เวฬุวันวิหาร อันเป็นสถานที่พระราชทาน เหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์นั้น ฯ 
 [๓๕๙] ครั้งนั้น ภิกษุเป็นอันมากเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม แล้วนั่ง ณ 
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า อชาต สัตตุกุมารได้ไปสู่ที่บำรุงของ 
พระเทวทัต ทั้งเวลาเย็นทั้งเวลาเช้า ด้วยรถ ๕๐๐ คัน แลนำภัตตาหาร ๕๐๐ สำรับไปด้วย 
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าพอใจลาภสักการะ และความสรรเสริญ 
ของเทวทัตเลย อชาตสัตตุกุมาร จักไปสู่ที่บำรุงของเทวทัต ทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า ด้วยรถ ๕๐๐ 
คัน แลจักนำ ภัตตาหาร ๕๐๐ สำรับไปด้วย สักกี่วัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทัตพึงหวังความ 
เสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายถ่ายเดียว หวังความเจริญไม่ได้ เปรียบเหมือนคน ทั้งหลายพึงทาน้ำดีหมี 
ที่จมูกลูกสุนัขที่ดุร้าย ลูกสุนัขนั้นจะเป็นสัตว์ดุร้ายขึ้นยิ่งกว่า ประมาณ ด้วยอาการอย่างนี้แล 
แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย อชาตสัตตุกุมาร จักไปสู่ที่บำรุงของเทวทัต ทั้งเวลาเย็นทั้งเวลาเช้า 
ด้วยรถ ๕๐๐ คัน แลจักนำ ภัตตาหาร ๕๐๐ สำรับไปด้วย สักกี่วัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทัต 
พึงหวังความ เสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลาย ถ่ายเดียว หวังความเจริญไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน ลาภสักการะและ 
 ความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อความวอดวาย ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ต้นกล้วยย่อมเผล็ดผลเพื่อ 
 ฆ่าตน ย่อมเผล็ดผลเพื่อความวอดวาย ฉันใด ลาภสักการะและความสรรเสริญก็เกิดขึ้นแก่เทวทัต 
 เพื่อฆ่าตน ลาภสักการะและ ความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อความวอดวาย ฉันนั้นเหมือนกัน 
แล ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ไม้ไผ่ย่อมตกขุยเพื่อฆ่าตน ย่อมตกขุยเพื่อความวอดวาย แม้ฉันใด 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและความสรรเสริญก็เกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน ลาภสักการะ 
 และความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อความวอดวาย ฉันนั้นเหมือน กันแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
 ไม้อ้อย่อมตกขุยเพื่อฆ่าตน ย่อมตกขุยเพื่อความวอดวาย แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะ 
 และความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัต เพื่อฆ่าตน ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัต 
 เพื่อความวอดวาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่ม้าอัสดรย่อมตั้งครรภ์เพื่อฆ่าตน 
 ย่อม ตั้งครรภ์เพื่อความวอดวาย แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะและความสรรเสริญ ก็เกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้น แก่เทวทัต เพื่อความวอดวาย 
 ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ 
 [๓๖๐] พระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์บาลีนี้แล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ ดังต่อไปนี้: 
 ผลกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่ 
 ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ สักการะย่อมฆ่าคนชั่ว 
 เหมือนม้าอัสดรซึ่งเกิดในครรภ์ ย่อมฆ่าแม่ม้า 
 อัสดรฉะนั้น ฯ

พระเทวทัตหาพรรคพวก
[๓๘๙] ครั้งนั้น ถึงวันอุโบสถ พระเทวทัตลุกจากอาสนะ ประกาศให้
ภิกษุทั้งหลายจับสลากว่า ท่านทั้งหลาย พวกเราเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมแล้วทูล
ขอวัตถุ ๕ ประการว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้
มักน้อย … การปรารภความเพียรโดยอเนกปริยาย วัตถุ ๕ ประการนี้ ย่อมเป็น
ไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย … การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้า
ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใด
อาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ … ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต
รูปใดพึงฉันปลาและเนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ วัตถุ ๕ ประการนี้ พระสมณโคดม
ไม่ทรงอนุญาต แต่พวกเรานั้นย่อมสมาทาน ประพฤติตามวัตถุ ๕ ประการนี้ วัตถุ
๕ ประการนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นจงจับสลาก ฯ
[๓๙๐] สมัยนั้น พระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ประมาณ ๕๐๐ รูป เป็น
พระบวชใหม่ และรู้พระธรรมวินัยน้อย พวกเธอจับสลากด้วยเข้าใจว่า นี้ธรรม
นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์ ลำดับนั้น พระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว พาภิกษุประมาณ-
*๕๐๐ รูป หลีกไปทางคยาสีสะประเทศ ฯ
[๓๙๑] ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้
กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
หลีกไปทางคยาสีสะประเทศ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร โมคคัลลานะ พวกเธอจักมีความ
การุญในภิกษุใหม่เหล่านั้นมิใช่หรือ พวกเธอจงรีบไป ภิกษุเหล่านั้นกำลังจะถึง
ความย่อยยับ
พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว ลุกจาก
อาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วเดินทางไปคยาสีสะประเทศ ฯ
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง
[๓๙๒] สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค จึง
พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ เธอร้องไห้ทำไม
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ
เป็นอัครสาวกของพระผู้มีพระภาค ไปในสำนักพระเทวทัต คงจะชอบใจธรรมของ
พระเทวทัต
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ข้อที่สารีบุตรโมคคัลลานะ จะพึงชอบ
ใจธรรมของเทวทัต นั่นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส แต่เธอทั้งสองไปเพื่อซ้อมความ
เข้าใจกะภิกษุ ฯ
พระอัครสาวกพาภิกษุ ๕๐๐ กลับ
[๓๙๓] สมัยนั้น พระเทวทัตอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม แล้วนั่งแสดง
ธรรมอยู่ เธอได้เห็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ มาแต่ไกล จึงเตือนภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เห็นไหม ธรรมเรากล่าวดีแล้ว พระสารีบุตร
โมคคัลลานะอัครสาวกของพระสมณโคดม พากันมาสู่สำนักเรา ต้องชอบใจธรรม
ของเรา เมื่อพระเทวทัตกล่าวอย่างนี้แล้ว พระโกกาลิกะ ได้กล่าวกะพระเทวทัต
ว่า ท่านเทวทัต ท่านอย่าไว้วางใจพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เพราะเธอ
ทั้งสองมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแก่ความปรารถนาลามก พระเทวทัตกล่าวว่า
อย่าเลย คุณ ท่านทั้งสองมาดี เพราะชอบใจธรรมของเรา
ลำดับนั้น ท่านพระเทวทัตนิมนต์ท่านพระสารีบุตรด้วยอาสนะกึ่งหนึ่งว่า
มาเถิด ท่านสารีบุตร นิมนต์นั่งบนอาสนะนี้ ท่านพระสารีบุตรห้ามว่า อย่าเลยท่าน
แล้วถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ก็ถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้น พระเทวทัตแสดงธรรม-
*กถาให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง หลายราตรี แล้วเชื้อเชิญ
ท่านพระสารีบุตรว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถา
ของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งกะท่าน เราเมื่อยหลังจักเอน ท่านพระสารีบุตรรับคำ
พระเทวทัตแล้ว ลำดับนั้น พระเทวทัตปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้น แล้วจำวัตรโดยข้างเบื้องขวา
เธอเหน็ดเหนื่อยหมดสติสัมปชัญญะ ครู่เดียวเท่านั้น ก็หลับไป ฯ
[๓๙๔] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรกล่าวสอน พร่ำสอนภิกษุทั้งหลาย
ด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วยอาเทสนาปาฏิหาริย์ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
กล่าวสอน พร่ำสอน ภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิ
ปาฏิหาริย์ ขณะเมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านพระสารีบุตรกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอนอยู่
ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอาเทศนาปาฏิหาริย์ และอันท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าว
สอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ดวงตาเห็นธรรมที่
ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลาย
มาว่า ท่านทั้งหลาย เราจักไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ผู้ใดชอบใจธรรมของพระผู้มี
พระภาคนั้น ผู้นั้นจงมา
ครั้งนั้น พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ พาภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นเข้า
ไปทางพระเวฬุวัน
ครั้งนั้น พระโกกาลิกะปลุกพระเทวทัตให้ลุกขึ้นด้วยคำว่าท่านเทวทัต ลุก
ขึ้นเถิด พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะพาภิกษุเหล่านั้นไปแล้ว เราบอกท่านแล้ว
มิใช่หรือว่า อย่าไว้วางใจพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ เพราะเธอทั้งสองมีความ
ปรารถนาลามก ถึงอำนาจความปรารถนาลามก
ครั้งนั้น โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากพระเทวทัต ในที่นั้นเอง ฯ
[๓๙๕] ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย พึงอุปสมบทใหม่
พ. อย่าเลย สารีบุตร เธออย่าพอใจการอุปสมบทใหม่ของพวกภิกษุผู้
ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายเลย ดูกรสารีบุตร ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้พวกภิกษุผู้
ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายแสดงอาบัติถุลลัจจัย ก็เทวทัตปฏิบัติแก่เธออย่างไร
ส. พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาให้ภิกษุทั้งหลาย
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ตลอดราตรีเป็นอันมาก แล้วได้รับสั่งกะ-
*ข้าพระพุทธเจ้าว่า ดูกรสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถาของภิกษุ
ทั้งหลายจงแจ่มแจ้งแก่เธอ เราเมื่อยหลัง ดังนี้ ฉันใด พระเทวทัต ก็ได้ปฏิบัติ
ฉันนั้นเหมือนกัน พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๓๙๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีสระใหญ่อยู่ในราวป่า ช้างทั้งหลายอาศัยสระนั้นอยู่
และพวกมันพากันลงสระนั้น เอางวงถอนเหง้าและรากบัวล้างให้สะอาดจนไม่มีตม
แล้วเคี้ยวกลืนกินเหง้าและรากบัวนั้น เหง้าและรากบัวนั้น ย่อมบำรุงวรรณะและ
กำลังของช้างเหล่านั้น และช้างเหล่านั้นก็ไม่เข้าถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย
มีข้อนั้นเป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนลูกช้างตัวเล็กๆ เอาอย่างช้างใหญ่เหล่านั้น
และพากันลงสระนั้น เอางวงถอนเหง้าและรากบัวแล้วไม่ล้างให้สะอาดเคี้ยวกลืน
กินทั้งที่มีตม เหง้าและรากบัวนั้น ย่อมไม่บำรุงวรรณะและกำลังของลูกช้างเหล่านั้น
และพวกมันย่อมเข้าถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีข้อนั้นเป็นเหตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทัตเลียนแบบเราจักตายอย่างคนกำพร้า อย่างนั้น
เหมือนกัน ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสประพันธคาถา ว่าดังนี้: