[๓๖] ทุติยอัญญตรภิกขุสูตร
ว่าด้วยภิกษุรูปหนึ่งทูลถามปัญหา สูตรที่ ๒
เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี
ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ซึ่งข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว จะพึงหลีกออกไปอยู่คนเดียว ไม่ประมาท มีความเพียรอุทิศกายและใจอยู่เถิด”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุ บุคคลครุ่นคิดถึงสิ่งใด ก็หมกมุ่นถึงสิ่งนั้นหมกมุ่นถึงสิ่งใด ก็ถึงการนับเข้ากับสิ่งนั้น ไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด ก็ไม่หมกมุ่นถึงสิ่งนั้นไม่หมกมุ่นถึงสิ่งใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับสิ่งนั้น”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์เข้าใจแล้ว ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์เข้าใจแล้ว”
“ภิกษุ ก็เธอเข้าใจเนื้อความแห่งคำที่เรากล่าวไว้อย่างย่อ โดยพิสดารได้อย่างไร”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าบุคคลครุ่นคิดถึงรูป ก็หมกมุ่นถึงรูปนั้น หมกมุ่นถึงรูปใด ก็ถึงการนับเข้ากับรูปนั้น
ถ้าครุ่นคิดถึงเวทนา ก็หมกมุ่นถึงเวทนานั้น หมกมุ่นถึงเวทนาใด ก็ถึงการนับเข้ากับเวทนานั้น
ถ้าครุ่นคิดถึงสัญญา ก็หมกมุ่นถึงสัญญานั้น หมกมุ่นถึงสัญญาใด ก็ถึงการนับเข้ากับสัญญานั้น
ถ้าครุ่นคิดถึงสังขาร ก็หมกมุ่นถึงสังขารนั้น หมกมุ่นถึงสังขารใด ก็ถึงการนับเข้ากับสังขารนั้น
ถ้าครุ่นคิดถึงวิญญาณ ก็หมกมุ่นถึงวิญญาณนั้น หมกมุ่นถึงวิญญาณใด ก็ถึงการนับเข้ากับวิญญาณนั้น
ถ้าบุคคลไม่ครุ่นคิดถึงรูป ก็ไม่หมกมุ่นถึงรูปนั้น ไม่หมกมุ่นถึงรูปใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับรูปนั้น
ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงเวทนา ก็ไม่หมกมุ่นถึงเวทนานั้น ไม่หมกมุ่นถึงเวทนาใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับเวทนานั้น
ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงสัญญา ก็ไม่หมกมุ่นถึงสัญญานั้น ไม่หมกมุ่นถึงสัญญาใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับสัญญานั้น
ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงสังขาร ก็ไม่หมกมุ่นถึงสังขารนั้น ไม่หมกมุ่นถึงสังขารใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับสังขารนั้น
ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงวิญญาณ ก็ไม่หมกมุ่นถึงวิญญาณนั้น ไม่หมกมุ่นถึงวิญญาณใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับวิญญาณนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เข้าใจเนื้อความแห่งพระภาษิตที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้อย่างย่อโดยพิสดารได้อย่างนี้”
“ดีละ ดีละ ภิกษุ เธอเข้าใจเนื้อความแห่งคำที่เรากล่าวไว้อย่างย่อ โดยพิสดารได้ดีแล้ว ถ้าบุคคลครุ่นคิดถึงรูป ก็หมกมุ่นถึงรูปนั้น หมกมุ่นถึงรูปใด ก็ถึงการนับเข้ากับรูปนั้น
ถ้าครุ่นคิดถึงเวทนา ก็หมกมุ่นถึงเวทนานั้น หมกมุ่นถึงเวทนาใด ก็ถึงการนับเข้ากับเวทนานั้น
ถ้าครุ่นคิดถึงสัญญา ก็หมกมุ่นถึงสัญญานั้น หมกมุ่นถึงสัญญาใด ก็ถึงการนับเข้ากับสัญญานั้น
ถ้าครุ่นคิดถึงสังขาร ก็หมกมุ่นถึงสังขารนั้น หมกมุ่นถึงสังขารใด ก็ถึงการนับเข้ากับสังขารนั้น
ถ้าครุ่นคิดถึงวิญญาณ ก็หมกมุ่นถึงวิญญาณนั้น หมกมุ่นถึงวิญญาณใด ก็ถึงการนับเข้ากับวิญญาณนั้น
ถ้าบุคคลไม่ครุ่นคิดถึงรูป ก็ไม่หมกมุ่นถึงรูปนั้น ไม่หมกมุ่นถึงรูปใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับรูปนั้น
ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงเวทนา ก็ไม่หมกมุ่นถึงเวทนานั้น ไม่หมกมุ่นถึงเวทนาใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับเวทนานั้น
ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงสัญญา ก็ไม่หมกมุ่นถึงสัญญานั้น ไม่หมกมุ่นถึงสัญญาใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับสัญญานั้น
ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงสังขาร ก็ไม่หมกมุ่นถึงสังขารนั้น ไม่หมกมุ่นถึงสังขารใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับสังขารนั้น
ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงวิญญาณ ก็ไม่หมกมุ่นถึงวิญญาณนั้น ไม่หมกมุ่นถึงวิญญาณใด ก็ไม่ถึงการนับเข้ากับวิญญาณนั้น
ภิกษุ เธอพึงเข้าใจเนื้อความแห่งคำที่เรากล่าวอย่างย่อ โดยพิสดารอย่างนี้”
ครั้งนั้น ภิกษุนั้นชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะถวายอภิวาท กระทำประทักษิณแล้วจากไป
ต่อมา ภิกษุนั้นหลีกออกไปอยู่คนเดียว ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ไม่นานนักก็ทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่เหล่ากุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน รู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป”
อนึ่ง ภิกษุนั้นได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย
พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ (ภาษาไทย ๑) เล่มที่ ๑๗ ข้อ ๓๕ หน้า ๔๘
————————
แม่ชีทศพร วชิระบำเพ็ญ